Wednesday, January 28, 2015

กินกล้วยวันละ 2 ผล เกิดประโยชน์มหาศาล

กินกล้วยวันละ 2 ผล เกิดประโยชน์มหาศาล


  
ถ้าต้องการให้ระดับพลังงานที่หย่อนยานลงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็วไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่ากล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที

จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน

1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง

2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกายินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถโฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วยในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วย สามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูก โดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย

5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคน จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญาเกี่ยวกับอาการเสียดท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้

10. ระบบระสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกินและโรคที่เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุนำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ ในนจำนวนคนไข้ 5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆ นักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทกรกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น

13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ try potophan ทำให้อารมณ์ดี

14. การสูบบุหรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็ว อันเป็นผลจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง

15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล

16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร

Monday, January 26, 2015

ดื่มน้ำขณะการออกกำลังกาย สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

การดื่มน้ำขณะการออกกำลังกาย สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

การดื่มน้ำขณะการออกกำลังกาย สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

น้ำถือเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกาย เป็นองค์ประกอบของเซลล์และช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นตัวช่วยในปฏิกิริยาชีวเคมีและการสันดาปสารอาหารต่าง ๆและช่วยลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ และระบายของเสียออกจากเซลล์นอกจากนี้ยังช่วยช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายขณะที่ำกิจกรรมต่างๆและยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วย

ปกติแล้ว ร่างกายจะมีการสูญเสียน้ำประมาณวันละ 2,300 มิลลิลิตร โดยแบ่งออกเป็นการสูญเสียน้ำทางปัสสาวะ 1,400 มิลลิลิตร ทางอุจจาระ 100 มิลลิลิตร และระเหยออกทางเหงื่อและลมหายใจ 800 มิลลิลิตร โดยประมาณ แต่จะมีน้ำเกิดขึ้นจากกระบวนการสลายไกลโคเจนเพียงวันละ 300 มิลิลิตรเท่านั้น ดังนั้น ร่างกายจึงจำเป็นจะต้องได้รับน้ำ จากภายนอกประมาณวันละ 2,000 มิลลิลิตร หรือประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน จึงจะเกิดความสมดุลของน้ำภายในร่างกาย แต่ในขณะที่ระหว่างการออกกำลังกายจะมีการสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้นเนื่องจากการระเหยของเหงื่อเพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย แม้ว่าไตจะได้ทำหน้าที่ดูดน้ำกลับแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยได้เพียงพอ พบว่าถ้าออกกำลังกายท่ามกลางอากาศที่ร้อนและอบอ้าว อาจมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายได้มากถึง 3 ลิตรได้ ดังนั้น ระหว่างการออกกำลังกาย จำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้เซลล์กล้ามเนื้อทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์

ผลกระทบของการขาดน้ำและเกลือแร่ ในขณะออกกำลังกาย

  • ระบบการไหลเวียนเลือดบกพร่อง เกิดผลกระทบโดยตรงต่อการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนให้แก่เซลล์กล้ามเนื้อ ประสิทธิในการระบายของเสียและความร้อนออกจากเซลล์ลดลง
  • ประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อลดลง
  • ถ้าเสียน้ำไปประมาณร้อยละ 2 ของน้ำหนักตัว (1-1.4 ลิตร) กล้ามเนื้อจะอ่อนล้าง่าย ไม่สามารถเล่นต่อเนื่องได้ และถ้าเสียน้ำไปมากกว่าร้อยละ 4 ของน้ำหนักตัว (2-2.8ลิตร) สมรรถภาพจะลดลงอย่างชัดเจน
  • กล้ามเนื้อเป็นตะคริวง่าย กลไกการเกิดตะคริวยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นผลจากการที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ร่วมกัน
  • ความดันเลือดลดลง มึนงง และเป็นลม ขณะแข่งขันได้ง่าย
  • ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนออกจากร่างกายลดลง อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูงจนเกิดการเจ็บป่วยได้
เพื่อป้องกันอาการข้างต้นควรดื่มน้ำให้พอทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการขาดน้ำซึ่งจะทำให้สมรรถภาพในการออกกำลังกายลดลง โดยมีวิธีการดังนี้

ก่อนออกกำลังกาย

ควรดื่มน้ำให้ เพียงพอ ประมาณ 400-600 มล. (1-1 ½ ขวดกลาง) ก่อนการออกกำลังกายทุกชนิดล่วงหน้าสัก 1-2 ชั่วโมง และอีก 200-400 มล. (1/2 -1 ขวดกลาง) ก่อนออกกำลังกายประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการจุกเสียดท้อง

ระหว่างการออกกำลังกาย

ขณะ ออกกำลังกายอย่างสนุกสนาน ร่างกายจะขับเหงื่อเพื่อปรับและรักษาอุณหภูมิไว้ให้สมดุล ดังนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ในกรณีที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 60 นาที คุณควรพักดื่มน้ำทุกๆ 15-20 นาที ครั้งละ 200 มล. (1/2 ขวดกลาง) หรือใช้วิธีจิบน้อย เเต่บ่อยๆก็ได้ ทั้งนี้ในกรณีที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังขาดน้ำ เช่น คอแห้ง น้ำลายเหนียว ก็ควรพักดื่มน้ำสักหน่อยก่อนกลับไปออกกำลังกายต่อ สัก 2-3 อึกก็ยังดี หรือถ้าออกกำลังกายที่มีความหนักและสูญเสียเหงื่อมาก อาจดื่มน้ำเกลือแร่เสริมได้ (กรณีออกมากกว่า 1 ชม.)เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด ป้องกันไม่ให้เหนื่อยอ่อนแรงและช็อค ซึ่งจะให้ดีเครื่องดื่มนั้นควรมีอุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส หรือเป็นน้ำในอุณภูมห้อง ก็ได้ เพื่อเพิ่มการดูดซึม
เมื่อการออกกำลังกายสิ้นสุด ปริมาณน้ำที่ควรดื่มทดแทน ให้คำนวณดูจากน้ำหนักตัวที่หายไปในระหว่างการแข่งขัน น้ำหนักหายไปเท่าใดให้ดื่มเท่านั้น น้ำหนักที่ลดลงภายหลังออกกำลังกายส่วนใหญ่เป็นน้ำหนักของน้ำที่สูญเสียไปกับเหงื่อ เป็นน้ำหนักของไขมันน้อยมาก
หากเป็นไปได้ควรชั่งน้ำหนักตัวทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกาย เพื่อคำนวณหาปริมาณน้ำที่ต้องดื่มทดแทน การชั่งน้ำหนักตัวเป็นระยะ ๆ จะเป็นการประเมินภาวะ การขาดน้ำได้ดีที่สุด

Credit: นายแพทย์ วิรุฬห์ เหล่าภัทรเกษม, นิตยสาร Health Today / lovefitt.com

Friday, January 23, 2015

ชาอู่หลง ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ!?




โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์เราเป็นสัตว์โลกที่ขี้เกียจ
ซึ่งความขี้เกียจนี้ก็ถือเป็นแรงผลักดันหนึ่ง
ให้เราคิดค้นเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ นานา
เพื่อให้งานที่ต้องทำบรรลุเป้าหมายโดยใช้แรงกายน้อยที่สุด
การไขว่คว้าหาทางลัดก็เป็นอีกนิสัยพื้นฐานหนึ่งของมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นทางลัดที่ช่วยให้ไปถึงที่หมายเร็วขึ้น
ทางลัดที่ช่วยให้รวยเร็วขึ้น ไปจนถึงทางลัดที่ช่วยให้ผอมเร็ว
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอดให้ยุ่งยาก
กระแสเห่อทางลัดช่วยผอมจึงมาแรงเป็นระยะๆ
แล้วก็จางหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง


และคลื่นลูกล่าสุดที่กำลังมาแรงในช่วงนี้คือ กระแสดื่มชาอู่หลงเพื่อลดน้ำหนัก
เรามาดูข้อเท็จจริงกันค่ะว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด


แนวคิดว่าชาอู่หลงน่าจะช่วยลดน้ำหนักได้


มาจากงานวิจัยในหลอดทดลองที่พบว่า สารโพลีฟีนอลในชา
หรือที่มีชื่อเรียกยากๆ ว่า Oolong tea polymerized polyphenols (OTPP)
มีคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ไลเปสจากตับอ่อน1 ไลเปสเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญ
ในการย่อยสลายไขมันจากอาหาร ช่วยให้ไขมันถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
เมื่อเอนไซม์ตัวนี้ถูกยับยั้ง การดูดซึมของอาหารประเภทไขมันก็ลดลง
เป็นกลไกเดียวกันกับยาลดความอ้วนบางตัวที่ใช้ในปัจจุบัน



นอกจากลดการดูดซึมของไขมันแล้ว ยังมีอีกการศึกษาในหญิงชาวญี่ปุ่นที่พบว่า
การดื่มชาอู่หลงช่วยเพิ่มการเผาผลาญขณะพักในเวลา 120 นาทีหลังดื่มได้ราวร้อยละ 10
เมื่อเทียบกับชาเขียวซึ่งเพิ่มได้เพียงร้อยละ 4.2

และยังมีการศึกษาจากจีนซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นคนอ้วนมากถึง 102 คน
พบว่าเมื่อให้ดื่มชาอู่หลงทุกวันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ร้อยละ 22 ของกลุ่มตัวอย่างมีน้ำหนัก
ลดลงเกินกว่า 3 กิโลกรัม และส่วนที่ลดเป็นไขมันบริเวณพุงมากกว่าส่วนอื่นๆ 3


แม้ว่าจะมีงานวิจัยสนับสนุนอยู่หลายชิ้น แต่ถ้าได้ตามไปอ่านงานเหล่านี้โดยละเอียดจะพบว่า
ยังไม่มีการทดลองแบบเปรียบเทียบโดยมีกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่
และมีการควบคุมปัจจัยอื่นๆ ที่ดีเพียงพอ
อีกทั้งในการทดลองทั้งหมดจะใช้เป็นชาอู่หลงจริงๆ
ไม่ใช่แบบบรรจุขวดสำเร็จรูปอย่างที่วางขายในท้องตลาดเมืองไทย


สำหรับชาแบบขวดที่ขายในไทย


มีงานวิทยานิพนธ์ที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัยศิลปากรพบว่า
ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและ
ปริมาณสารในกลุ่มโพลีฟีนอลในชาเขียวขวดที่วางขายแต่ละยี่ห้อ
มีน้อยกว่าชาเขียวชงสดอย่างมีนัยยะสำคัญ
เสียดายที่ในงานชิ้นนี้ไม่ได้มีการนำตัวอย่างชาอู่หลงบรรจุขวดมาวิเคราะห์ด้วย
จึงยังสรุปแบบฟันธงไม่ได้ว่าสารโพลีฟีนอลตัวสำคัญคือ OTPP ในชาอู่หลงขวดนั้น
จะยังมีประสิทธิภาพคงอยู่ครบถ้วนเพียงใด

สำหรับชาอู่หลงขวดที่วางขายในท้องตลาดเมืองไทยนั้น หากพลิกอ่านฉลากโภชนาการก่อน
ตามหลัก “อ่านก่อนผอมกว่า” จะพบว่า บางยี่ห้อมีการเติมน้ำตาลลงไปมากถึง 28 กรัมต่อหนึ่งขวด
ซึ่งรับประกันได้ว่า ดื่มแล้วหวานชื่นใจแต่พุงกะทิไม่หายไปไหนอย่างแน่นอน
ดังนั้น หากจะซื้อรับประทาน ควรซื้อแบบใบชาจริงๆ มาต้มหรือชงดื่ม แต่ถ้าจะซื้อเป็นแบบบรรจุขวด
ควรพลิกอ่านฉลากโภชนาการก่อน และซื้อเป็นแบบไม่ใส่น้ำตาล



สรุปแล้ว "ชาอู่หลง" เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่น่าสนใจในการลดน้ำหนัก แต่ไม่ได้ช่วยมากมายนัก
และไม่ใช่ทางลัดหรือคำตอบสุดท้ายที่ทำให้น้ำหนักลดหรือผอมลงอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกวิธี และการออกกำลังกาย
ยังคงเป็นคำตอบหลักของความผอมพร้อมสุขภาพดีค่ะ

Wednesday, January 21, 2015

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ

ผู้หญิงคนไหนบ้างคะที่ไม่อยากสวยหุ่นดี คงไม่มีเป็นแน่ เพราะเสน่ห์ของผู้หญิงเราก็คือ ความสวยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า โดยหนุ่มๆ ที่มองเรานั้นมักจะสังเกตกันตั้งแต่หน้าตา ผิวพรรณ ทรงผมและรูปร่างกันเลยทีเดียว แต่สำหรับผิวและส่วนอื่นๆ มักจะไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ชายเท่าไร เพราะหนุ่มๆ มักจะให้ความสำคัญกับหุ่นหรือรูปร่างของผู้หญิงก่อนอื่นเสียมากกว่า

ต่อให้ผู้หญิงบางคนหน้าตาจืดๆ ธรรมดา แต่หากหุ่นสวยเพรียวและมีหน้าท้องแบนราบด้วยล่ะก็ เชื่อไหมคะว่ามันจะทำให้เธอมีหุ่นราวนางแบบที่สามารถแต่งตัวแบบไหนก็ออกมาสวยเจิดจรัสได้ดีเยี่ยมสุดๆ เพราะฉะนั้น การมีหุ่นดีนี่แหละค่ะนับเป็นสิ่งที่สาวๆ พึงแสวงหาเพื่อเป็นรางวัลแห่งเสน่ห์ที่ควรค่ามีไว้ประดับเรือนร่างสุดๆ วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีลดน้ำหนักและลดหน้าท้องให้แบนราบด้วยวิธีง่ายๆ ไปพร้อมกัน เริ่มจากอะไรนั้นมาดูกันเลยนะคะ

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ



1.แขม่วหน้าท้องและออกกำลังกาย
นั่งทำงานในระหว่างวัน ไม่ต้องคิดมากเลยว่าจะทำยังไงให้ร่างกายเคลื่อนไหวตลอดเวลาเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ เพราะสาวๆ แค่หมั่นแขม่วหน้าท้องบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้ แค่นี้ก็จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันหน้าท้องให้ค่อยๆ หายไปได้แล้วค่ะ และตกเย็นใน 3-4 วันต่อสัปดาห์อย่าลืมหาเวลาไปออกกำลังกายบ้าง หากไม่มีเวลาจริงๆ ทำงานบ้านให้เหงื่อออกมากๆ ก็ช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้แล้วเช่นกัน

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ


2.กินอาหารที่เน้นไฟเบอร์สูง
เลือกกินผักผลไม้ที่ให้ไฟเบอร์สูงทุกมื้ออาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงทุกชนิด น้ำหวาน น้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ ที่ดื่มแล้วจะทำให้เกิดไขมันสะสมหน้าท้อง จงงดไปเลยค่ะ แต่หันมาดื่มน้ำเปล่าระหว่างวันให้มากๆ แทน หน้าท้องก็จะลดลงในตัวและช่วยควบคุมความหิวได้มากขึ้นแล้ว

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ


3.งดกินอาหารรสเค็ม
อาหารรสเค็มควรหลีกเลี่ยงหรือกินแบบจืดๆ จะดีกว่า เพราะอาหารที่มีเกลือโซเดียมนั้นจะยิ่งทำให้เราหิวของหวานและหิวอาหารตลอดเวลา อีกทั้งยังทำให้ร่างกายบวมน้ำอีกด้วย หน้าท้องก็จะลดลงยากด้วย

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ


4.นอนให้เร็วขึ้น
การเข้านอนเร็วและนอนพักผ่อนให้เพียงพอจะทำให้ระบบเมตาบอลิซึ่มทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สาวคนไหนอยากหุ่นดี ผิวสวย อ่อนเยาว์หันมานอนเร็วดีกว่าและก่อนนอนอาจจะซิทอัพทุกคืน ทำเป็นประจำแค่นี้ คุณก็จะพบว่าการลดน้ำหนักและลดหน้าท้องนั้น ทำได้ง่ายมากกว่าที่คิดจริงๆ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะ หากสาวๆ ปรารถนาการมีหุ่นดี สุขภาพแข็งแรงและหน้าท้องแบนราบอย่างเป็นธรรมชาติ ทำตามนี้ได้ผลดีแน่นอน แล้วคุณก็จะมีเสน่ห์ความงามติดตัวไปทุกหนทุกแห่งแบบไม่ต้องเสียเงินแต่งเติมเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก sanook.com

Monday, January 19, 2015

Friday, January 16, 2015

กลอนวันครู


กลอน กลอนวันครู


กลอน กลอนวันครู

แบกภาระ หนักอึ้ง ซึ่งยากยิ่ง
ทำทุกสิ่ง เพื่อทุกศิษย์ ไม่ถอดถอย
อบรม บ่มจิต ลูกศิษย์น้อย
ให้เจ้าค่อย เข้าใจ ในวิชา
จากอีกรุ่น ต่ออีกรุ่น สู่อีกรุ่น
ขอบพระคุณ คุณครู ผู้สง่า
สั่งสอนศิษย์ มีศีลธรรม นำจรรยา
น้อมเคารพ บูชา พระคุณครู
มะลิร้อย มาลัยพวง ดวงดอกไม้
ทั้งธูปเทียน ที่นำไหว้ ในวันนี้
คือความรัก เคารพครู ผู้หวังดี
ศิษย์คนนี้ ที่ได้ดี เพราะเชื่อครู


ขอบคุณบทกลอนดี ๆ จาก tlcthai