Friday, February 27, 2015

‘เหล้าทำร้ายร่างกายหัวจรดเท้า’

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgztQq0w-2ALi001qVkMJvIm9aZeZWC4oNgqhDWHVnE-2BFOx8N5kfUewDdBF4H-PbymHvzVN1nMT0pQfj9k9QbBVw-WSjux5AJQGYDYsRmwd_3wXLoEIhr0uwEsO9t7F8CfJ1aD3I2qNo/s1600/e_cejklmow2578.jpg

          ร่างกายของมนุษย์เราเป็นเครื่องจักรทางชีวภาพที่ขี้ฟ้องค่ะ เราทำอะไรกับร่างกายไว้ ไม่ว่าจะกินแบบไหน นอนแบบใด หรือดื่มอะไรลงไปทำร้ายร่างกายบ้าง ทุกอย่างจะฟ้องออกมาหมดที่รูปร่างหน้าตา โดยเฉพาะการดื่มเหล้า คุณผู้อ่านลองมองหาเพื่อนหรือคนใกล้ตัวที่เป็นนักดื่ม แล้วสำรวจร่างกายของเขาดูนะคะ คุณจะพบว่าการดื่มเหล้านั้่นทำให้เค้าเผละหัวจรดเท้าได้เพียงใด

          หน้าเผละ - เหล้าเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระ ซึ่งอนุมูลอิสระที่มาก จะไปทำลายคอลลาเจน ทำให้โครงสร้างพยุงผิวเสียไป ใบหน้าจึงหย่อนคล้อยได้ก่อนวัย โดยเฉพาะบริเวณหนังตาบน ขากรรไกร จะหย่อนจนบ่งอายุได้ชัดเจนมาก ยิ่งในกลุ่มคอทองแดงที่ดื่มเหล้าผสมน้ำอัดลมหรือน้ำหวาน จะได้รับน้ำตาลส่วนเกินจากมิกเซอร์ น้ำตาลทำปฏิกริยาไกลเคชั่น ส่งผลให้คอลลาเจนที่ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้นแบบสองเด้ง ดังนั้น คนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ หน้าตามักจะบวมๆ เผละๆ ล่วงหน้าไปเกินกว่าวัยที่ควรจะเป็น

          นอกจากโครงสร้างใบหน้าจะเผละแล้ว ผิวหนังยังมักขาดความชุ่มชื้น แลดูไม่มีน้ำมีนวล หรือในบางรายที่ดื่มแล้วทำให้ผื่นผิวหนังอักเสบประเภทเซ็บเดิร์มกำเริบ ก็จะมีผิวลอกเป็นขุยๆ บริเวณหัวคิ้ว ร่องจมูก ทำให้หน้าเยินยิ่งไปกว่าเดิมทุกครั้งที่ดื่ม

          พุงเผละ - ดื่มเหล้าทำให้พุงพลุ้ยขึ้นได้จากหลายปัจจัย สาเหตุทางตรงเลยคือแอลกอฮอล์ในเหล้าคือแหล่งของพลังงานส่วนเกิน โดยไวน์แดง 1 แก้วใหญ่ให้พลังงานเท่ากับไอศกรีมโคนราดช็อคโกแล็ต 1 โคน ในขณะที่เบียร์ 2 ขวดเล็ก ให้พลังงานเท่ากับเซอร์ลอยด์สเต็ก 1 ก้อนโต นอกจากให้พลังงานทางตรงแล้ว เหล้ายังส่งผลทางอ้อมโดยกระตุ้นความอยากอาหาร และลดความยับยั้งชั่งใจในการคุมตัวเอง หลายคนจึงอ้วนทั้งจากเหล้าและกับแกล้มไปพร้อมๆ กัน

          การดื่มเป็นประจำยังส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยฮอร์โมนเพศชายจะลดลง ในขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิงสูงขึ้น ผู้ชายนักดื่มบางคนอาจมีปัญหาหน้าอกใหญ่ขึ้น หรือสมรรถภาพทางเพศถดถอยได้ นอกจากฮอร์โมนเพศแล้ว การดื่มเรื้อรังยังส่งผลให้ฮอร์โมนเครียดหรือคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเครียดจะสั่งการให้ร่างกายเก็บกักไขมันที่บริเวณพุงมากขึ้น คนดื่มประจำจึงมักมีพุงพลุ้ย แม้ในคนที่แลดูไม่อ้วนก็จะยังแอบมีพุง

          จะเห็นได้ว่า เหล้านั้นทำร้ายเราตั้งแต่อวัยวะภายในคือ ตับ สมอง หัวใจ ไปจนถึงรูปร่างหน้าตาภายนอกที่ฟ้องออกมาในสภาพ อ้วน เผละ และแก่อย่างเป็นรูปธรรม ได้เวลาแล้วหรือยังคะ ที่เราจะหยุดประทุษร้ายร่างกายตัวเอง


          ที่มา : พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง) บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ในชุดโครงการ “รวมพลัง ขยับกาย สร้างสังคมไทย ไร้พุง” เครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Wednesday, February 25, 2015

ขอบตาคล้ำ ทำอย่างไรดีนะ

ขอบตาคล้ำ ทำอย่างไรดีนะ



beau_momypedia.com
ขอบตาคล้ำ
ทำอย่างไรดีนะ… ผู้หญิงหลายคนเป็นกังวลกับขอบตาดำ วงคล้ำๆ ใต้ลูกกะตา เพราะทำให้เสียเซ้ว ความมั่นใจหดหายกันไปเยอะ ว่าแต่ว่ามันเกิดจากอะไร แล้วทำยังไงถึงจะหายนะ

สาเหตุ
ขอบตาคล้ำ คือเส้นเลือดใต้ดวงตาของคุณไหลเวียนไม่ดี เป็นได้ทั้งจากกรรมพันธุ์ ขยี้ตาบ่อย แพ้ครีมทารอบดวงตา อดนอน หรือภูมิแพ้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ บางคนจะมีเส้นเลือดดำรอบตาขยายใหญ่กว่าคนทั่วไป นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

วิธีแก้ไข

วิธีที่ 1 ลองใช้แตงกวาฝานเป็นแผ่นบางๆ หรือใช้ถุงชาที่ชงแล้วแช่ให้เย็นเจี๊ยบมาประคบที่ตาจนแตงกวาหรือถุงชาหายเย็น
วิธีที่ 2 ผสมเกลือ 1 ช้อนชากับน้ำร้อนครึ่งถ้วย ใช้สำลีหรือผ้าชุบแล้วนำมาปิดตาประมาณ 10 นาที

ถ้าลอง 2 วิธีนี้แล้วยังไม่หายคล้ำ ก็ลองพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลัง หรือลองใช้ครีม Whitening ชนิดที่ใช้ทาใต้ดวงตา แต่ถ้าทำทุกอย่างที่บอกมาแล้วตายังเป็นแพนด้าอยู่อีก ปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์รักษาด้วย แต่วิธีนี้ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยอาการก่อน ซึ่งก็ไม่อยากแนะนำเท่าไหร่นัก ทางที่ดีที่สุดคือรักษาสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอนั้นนอกจากตาจะไม่ดำแล้ว ยังป้องกันโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก momypedia

Monday, February 23, 2015

ท่าโยคะ ลดการปวดหลัง

ท่าโยคะยืดคลายกระดูกสันหลังที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง และท่าโยคะที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อระบบการทำงานของสมอง

ท่าโยคะ ลดการปวดหลัง

เข้าสู่ ท่าโยคะ ขั้นที่สูงขึ้นมาอีกนิดหน่อย กับการนอนปฎิบัติ ที่ยากขึ้นเนื่องจากต้องใช้พละกำลังและความแข็งแรงของช่วงแขน คอ และไหล่ค่อนข้างสูง รวมไปถึงการยืดคลายกระดูกสันหลังที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง และท่าโยคะในท่านอนหงายจะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อระบบการทำงานของสมอง เนื่องจากมีหลายๆ ท่าที่ต้องยกตัวขึ้นเหนือศรีษะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น แต่หลักที่สำคัญที่สุดในการปฎิบัติโยคะก็คือสมาธิและการกำหนดลมหายใจที่มั่นคงให้รับรู้และสัมพันธ์ไปกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ตามความหมายของโยคะ ที่ว่า "โยคะ คือการรวมให้เป็นหนึ่ง คือรวมกาย จิต วิญาณให้เป็นหนึ่งทำให้เรามีสติและอยู่บนพื้นฐานของความจริงของชีวิต"



ท่ายืนด้วยไหล่นอนหงายฝ่ามือคว่ำลงกดพื้น หายใจเข้ายกสองขาขึ้นตั้งฉาก หายใจออกเหวี่ยงขาและสะโพกไปด้านหลัง หายใจเข้าแล้วจึงตั้งตัวให้ตรง ค้างไว้ 120 วินาทีหายใจออกโน้มตัวและขามาด้านหลัง เอื้อมมือไปแตะที่หัวเข่า ค้างไว้ 30 วินาที
- ท่านี้ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดมาเลี้ยงบริเวณหน้าอก คอ ศีรษะ รักษาและบรรเทาโรคปอดหอบหืด หลอดลมอักเสบ ภูมิแพ้ ต่อมทอนซิลอักเสบ โรคของต่อมไทรอยด์และพาราไทรอยด์ โรคปวดศีรษะเรื้อรังชนิดต่างๆ นอนไม่หลับโรคเส้นเลือดสมองตีบ โรคลมชัก รวมไปถึงระบบทางเดินปัสสาวะและทางเดินอาหาร





ท่าสะพาน
หายใจออกมือจับที่หลังช่วงเอวใช้ข้อศอกช่วยยันพื้น ค่อยๆหย่อนเท้าลงมาทีละข้าง เหยียบเต็มเท้า ค้างไว้ 30 วินาที

- ช่วยขยายหน้าอกช่วงซี่โครงช่วยให้หายใจได้ลึกยิ่งขึ้น รับออกซิเจนมากขึ้นแก้อาการปวดศรีษะเพราะเลือดไหลเวียนไปสู่สมองได้ดีขึ้นนอกจากนั้นยังช่วยแก้อาการปวดหลัง และเพิ่มความแข็งแรงให้แก่แขน ขา ข้อมือ เนื่องจากมีการยืดกระดูกสันหลังและใช้กำลังแขนขาอย่างเต็มที่





ท่าคันไถ
หายใจออกค่อยๆ เขยิบเท้ามาใกล้ๆ ตัวแล้วออกแรงเหวี่ยงขาไปด้านหลัง หายใจเข้ากดสะโพกลง คว่ำมือราบกับพื้น ค้างไว้ 15 วินาที แล้วจึงหายใจออกวางเท้าลงนอนราบกับพื้น

- ท่านี้ช่วยป้องกันไส้เลื่อนช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น เพิ่มความอยากอาหารช่วยให้กระดูกสันหลังยืดหยุ่นดี แก้ปวดหลัง ลดไขมันหน้าท้อง เอว สะโพก ลดความดันโลหิต และช่วยทำให้ทำให้จิตใจสงบขึ้น

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก sanook.com ค่ะ

Wednesday, February 18, 2015

3 เทคนิคง่ายๆ ‘เลือกเครื่องสำอาง’ ให้ปลอดภัย

3 เทคนิคง่ายๆ ‘เลือกเครื่องสำอาง’ ให้ปลอดภัย

เครื่องสำอางทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวกบำรุงดูแลผิวให้ดูสุขภาพดีหรือเติมสีสันสดใสบนใบหน้า ล้วนเป็นสิ่งที่สาวๆขาดไม่ได้เลยใช่ไหมคะ
แต่!!..จะซื้อจะใช้อย่างไรให้ปลอดภัยไร้ปัญหากับหน้าสวยๆ ของเราชาว วันนี้เรามีเทคนิคมาฝากค่ะ


1.อย่าเพิ่งซื้อหากยังไม่ได้ทดสอบ
ก่อนตัดสินใจยื่นบัตรเครดิตซื้อเครื่องสำอางโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบำรุงผิวทั้งหลาย ไม่ควรลืมทดสอบก่อนว่าผิวเราแพ้ส่วนผสมต่างๆไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม วิตามิน สารเคมีในเครื่องสำอางชิ้นนั้นหรือไม่ เพราะถึงคนอื่นใช้ได้ไม่มีปัญหา แต่ผิวของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คุณอาจเกิดอาการแพ้จนเกิดผื่น
ผิวอักเสบ ฯลฯ ตามมาก็เป็นได้

Beauty Tips
- ทาเครื่องสำอางชิ้นหมายตาที่ท้องแขนทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ถ้าไม่เกิดอาการผิดปกติ เช่น คัน บวม แดง หรือมีผื่นก็น่าจะวางใจได้
- ควรลองเปลี่ยนเครื่องสำอางทีละชิ้นดีกว่าจะใช้ของใหม่พร้อมๆ เพราะถ้าเกิดแพ้หรือมีปัญหาจะได้รู้ได้ง่ายว่าต้นตอมาจากไหน
- ถ้ามีของตัวอย่างหรือขนาดทดลองใช้ก็อย่าลืมเลียบเคียงกับ BA.ที่เคาน์เตอร์ จะได้มาลองใช้ก่อนให้ชัวร์ว่าไม่แพ้ ยิ่งเป็นบำรุงราคาแพงๆ
ถ้าจะซื้อครั้งแรกควรเลือกไซส์เล็กก่อน จะได้มั่นใจว่าใช้ดีไม่มีปัญหากับผิวหน้า

2.ไม่ใช้ปนกับผู้อื่น
ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผิวของสาวๆ ระวังเรื่องความสะอาดปลอดภัยเวลาใช้เครื่องสำอางกันให้มากขึ้น ยิ่งเป็นเมคอัพที่สาวๆ ขอลองสีตามเคาน์เตอร์ หรือแบ่งกันใช้กับเพื่อนอย่างสนุกสนาน รู้ไหมคะมีโอกาสสูงที่คุณเองจะรับและส่งโรคติดต่อต่างๆ อย่างโรคเริม โรคผิวหนัง
ผ่านเครื่องสำอางนี้ได้ง่ายๆ เลยทีเดียว

Beauty Tips
- เวลาไปลองเครื่องสำอางที่เคาน์เตอร์ ไม่ควรไปสัมผัสกับเครื่องสำอางโดยตรง แตะคัดตอนบัดสะอาดแตะที่เครื่องสำอางแล้วมาทาที่หลังมือหรือท้องแขน
แต่ถ้าต้องทดลองกับใบหน้าจริงๆ ให้บอก BA.เปลี่ยนฟองน้ำหรือแปรงอันใหม่ให้ด้วยทุกครั้ง
- ไม่ควรใช้เครื่องสำอางของคนอื่นโดยเฉพาะที่ต้องมีการสัมผัสกับผิวโดยตรง เช่น ลิปสติก แป้ง ฯลฯ เพราะถึงจะสนุกแถมประหยัดเครื่องสำอาง
แต่ได้เริมมาเป็นของแถม คงไม่คุ้มแน่




3.ระวังเครื่องสำอางหมดอายุ
ช่วงเทคกาล Sale ทั้งหลายที่เครื่องสำอางพร้อมใจกันทั้งลดทั้งแถม นอกจากทำเอากระเป๋าฉีกแล้ว คุณยังอาจต้องมานั่งเจ็บใจถ้าเหมาซื้อมาจนใช้ไม่ทัน
ในที่สุดก็ต้องทิ้งลงถังขยะไปเพราะหมดอายุ หรือบางคนกว่าจะรู้ตัวหน้าสวยๆ ก็ยับเยินจากเครื่องสำอางที่หมดอายุนั่นเอง

Beauty Tips
- ก่อนซื้อของ sale เช็กวันผลิตก่อน โดยเฉลี่ยเครื่องสำอางมีอายุหลังการผลิต (ยังไม่เปิดใช้) 5 ปี เพราะฉะนั้นซื้อแล้วต้องคำนวณด้วยว่าจะใช้หมดไหม
จะได้ไม่ต้องไปตัดใจเสียดายแทบแย่ที่ต้องโยนทิ้งทีหลังเพราะหมดอายุ
- วิธีสังเกตเครื่องสำอางหมดอายุ ดูได้จากกลิ่นที่เปลี่ยนไป ส่วนผสมแยกชั้น เนื้อของเครื่องสำอางไม่เหมือนเดิม ถ้าเป็นแบบนี้ต้องตัดใจทิ้งแล้วค่ะ
- หลังเปิดใช้เครื่องสำอางจะมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่ายควรรีบใช้ให้หมดภายใน 1-2 ปีค่ะ
- อย่าลืมเขียนวันเปิดใช้ครั้งแรก(ตัวเล็กๆ) ไว้ที่เครื่องสำอาง เพื่อเตือนความจำ และจะได้เช็กอายุเครื่องสำอางได้ง่ายขึ้นด้วย

Monday, February 16, 2015

5 สุดยอดสถานที่เที่ยว เฉพาะคนกระเป๋าหนัก

เวลาเห็นคนมีสตางค์เดินทางไปกิน เที่ยว นอนที่ไหน ในใจก็อยากรู้ว่ามันจะสวยหรูสักปานใด ถึงทำให้บรรดาเศรษฐีมีงบยอมควักเงินจ่าย


จึงรวบรวม 5 สุดยอดเป้าหมายการเดินทาง ที่บางแห่งก็เว่อร์วังอลังการซะจนคิดว่ามันมีอยู่จริงด้วยหรือ และบางแห่งก็ต้องใช้เวลาจองคิวล่วงหน้าหลายเดือนกว่าจะได้ใช้บริการ พร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปด้วยกันเลยค่ะ

ภาพจาก http://www.goldeneagleluxurytrains.com

1.Golden Eagle สาย Trans-Siberian เส้นทางรถไฟสาย Trans-Siberian มีจุดเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงมอสโคเมืองหลวงของรัสเซีย วิ่งตรงไปสู่ท่าเรือวลาดิวอสต็อค ในรถไฟมีห้องรับรองผู้โดยสารแบบส่วนตัว ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับคือ Silver Class, Gold Class และ Imperial Suites
ภายในให้บริการเตียงนอนสุดหรูประดุจเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว นอกจากนั้นยังมีบริการสุดพิเศษเสิร์ฟอาหาร ไวน์ แชมเปญตลอดการเดินทาง และหากแวะพักที่เมืองใด ก็จะมีไกด์นำเที่ยว พร้อมสิทธิพิเศษในการเข้าพักโรงแรมระดับชั้นนำประจำเมืองนั้นๆ อีกด้วย ตลอดการเดินทางใช้เวลาทั้งสิ้น 15 วันรวมระยะทางประมาณ 6,600 ไมล์

ตลอดเส้นทางมีทัศนียภาพที่งดงามทั้งเมืองคาซาน เมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโวลก้า อันมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่แสนตราตรึง และที่พิเศษสุดๆ คือนักเดินทางทุกคนจะได้ชื่นชมความสวยงามของทะเลไบขาล หรือในฉายา "ไข่มุกแห่งไซบีเรีย" ทะเลสาบที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลก สำหรับราคาการเดินทางเริ่มต้นอยู่ที่ 15,895 ดอลลาร์ หรือประมาณ 4 แสนกว่าบาทต่อคน
สำหรับห้องโดยสารประเภท Silver Class ส่วนห้องโดยสารประเภท Imperial Suites ราคาเริ่มต้นที่ 30,995 ดอลลาร์ หรือประมาณ 9 แสนกว่าบาท


ภาพจาก http://conradhotels3.hilton.com

2.Conrad Maldives Rangali Island Resort โรงแรมที่ติดอันดับโรงแรมที่สวยที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งมาจากความงดงามดุจดั่งสรวงสวรรค์ของทะเลมัลดีฟท์ที่ล้อมรอบด้วยความสวยงามจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า น้ำทะเล เม็ดทรายขาวละเอียดนุ่มละมุน รวมไปถึงสัตว์ทะเลสีสันสดสวย
โรงแรมแห่งนี้ให้บริการห้องพักทั้งสิ้น 146 ห้อง มีทั้งแบบวิลล่าที่ยื่นตัวลงไปในทะเลกับวิลล่าที่ตั้งอยู่ริมชายหาด

นอกจากนี้ยังมีห้องพักแบบสปาวิลล่าที่มีห้องทรีทเม้นท์อยู่ภายใน ห้องพักทุกห้องสามารถมองเห็นความงดงามของท้องทะเลมหาสมุทรอินเดียได้แบบใกล้ชิดสุดๆ สำหรับอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนไปถึงแล้วไม่ควรพลาดเพราะถือเป็นไฮไลท์นั่นคือภัตตาคารใต้ทะเล Ithaa ร้านอาหารที่อยู่ลึกลงไปใต้ท้องทะเลประมาณ 5 เมตร ใครที่ไปนั่งรับประทานอาหารในร้านแห่งนี้จะได้เพลิดเพลินไปกับรสชาติอาหารพร้อมชมโลกใต้ท้องทะเลรอบๆ ห่างเพียงกระจกกั้น
และหากคู่รักเดินทางไปตรงกับช่วงที่โรงแรมจัดโปรโมชั่นพิเศษ ห้องอาหารแห่งนี้จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนใต้ท้องสมุทรสุดสวีท พร้อมบริการแชมเปญดินเนอร์สุดหรูแบบเป็นส่วนตัวเพราะเสริ์ฟถึงเตียงนอน

ภาพจาก http://www.sushi-jiro.jp/

3.ซูชิ จิโร่ ระยะหลังคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันง่าย และบ่อยเหมือนนั่งรถออกไปเที่ยวต่างจังหวัด สถานที่ที่นิยมไปเที่ยวกันก็ไม่พ้นเมืองท่องเที่ยว และแหล่งท่องเที่ยวดังๆ ทั่วไป แต่เชื่อหรือไม่ว่ายังมีอีกหนึ่งสถานที่ๆ แม้แต่บรรดาไฮโซยังต้องรอคิว และฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้ได้ นั่นคือร้านขายซูชิเล็กๆ "ซูชิ จิโร่" เนื่องจากใครที่อยากทานซูชิที่ร้านนี้ต้องให้ชาวญี่ปุ่นจองคิวล่วงหน้าให้ประมาณ 1 เดือน หรือต้องให้โรงแรมระดับ 5 ดาวในญี่ปุ่นจองให้เท่านั้น
ร้านซูชิแห่งนี้เป็นร้านซูชิในตำนานและยังเป็นร้านขายซูชิในประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับ 3 ดาวมิชลินร้านเดียวในโลก โดยมีเชฟมือหนึ่งเจ้าของร้านคือ "จิโร่ โอโนะ" เชฟอายุกว่า 70 ปี เป็นผู้ปั้นซูชิเสิร์ฟลูกค้าแบบคำต่อคำ
จุดเด่นของที่นี่คือซูชิจะเป็นซูชิสูตรเฉพาะแบบโตเกียวที่สามารถดึงเอกลักษณ์ของวัตถุดิบแต่ละชนิดออกมาได้อย่างชัดเจน ซูชิของร้านนี้จะเสิร์ฟเป็นคอร์สๆ ละ 20 ชิ้น และมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3 หมื่นเยน หรือประมาณ 9 พันกว่าบาท เห็นไหมคะว่านอกจากต้องจองคิวล่วงหน้าแล้ว ราคายังเป็นมิตร (กับคนมีสตางค์) อีกด้วย

ภาพจาก www.istockphoto.com

4.โกตดาซูร์ ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส หรือที่ใครๆ เรียกกันว่าเฟรนซ์ ริเวียร่า สถานที่ตากอากาศสุดฮิตที่บรรดาเซเลบริตี้หรือคนมีชื่อเสียงนิยมเดินทางไปตากอากาศ เฟรนซ์ ริเวียร่าได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยวิคตอเรีย สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากอากาศและสภาพแวดล้อมโดยรอบบริสุทธิ์ สดชื่น ทัศนียภาพสวยงดงาม
อีกทั้งตลอดชายหาดตรงบริเวณถนนเรียบทะเล Promanade des Anglais จะมีอาคารเก่าแก่ที่ยังคงความงดงามด้านสถาปัตยกรรมและมีเอกลักษณ์เฉพาะแบบที่เป็นการผสมผสานระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหม่ นอกจากนี้ในบริเวณที่ไม่ห่างไกลกันนักยังมีสถานที่พักร้อนอย่าง เซนต์โทรเปซ ที่ๆ บุคคลมีชื่อเสียงนิยมเดินทางด้วยเรือยอร์ชแวะไปทอดสมอพักผ่อนอยู่เรื่อยๆ โดยในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยโรงแรมสุดหรูมากมาย


ภาพจาก http://www.hoteldeparismontecarlo.com

5.Le Louis XV-Alain Ducasse ร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินที่เปิดมานานถึง 25 ปี ใครที่ปรารถนาจะรับประทานอาหารที่ห้องอาหารแห่งนี้ต้องจองคิวล่วงหน้าก่อนรับประทานประมาณ 3 เดือน ตัวร้านตั้งอยู่ในโรงแรม Hotel de Paris โรงแรม 5 ดาวที่หรูหรา สวยงามของมอนติคาโล ประเทศโมนาโค
อาหารที่ทางร้านเสิร์ฟมีหลากหลายทั้งอาหารฝรั่งเศส อาหารสไตล์ Gastronomic (อาหารที่เกิดจากการนำหลักทางวิทยาศาสตร์ มาเปลี่ยนรูปของวัตถุดิบ หรือจับอาหารเดิมที่มีอยู่มาตัดแต่งอะตอมข้างในเกิดเป็นรูปแบบใหม่) และอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ใครที่เคยไปรับประทานอาหารที่นี่ต่างประทับใจในรสชาติ การบริการ รวมถึงความสวยงามของสถานที่ๆ ออกแบบและตกแต่งอย่างหรูหรา ประดุจนั่งรับประทานอาหารในปราสาทเทพนิยาย สำหรับราคาอาหารนั้นก็เริ่มต้นกันที่สลัดราคาเบาๆ จานละประมาณ 3 พันกว่าบาทเท่านั้นค่ะ

เป็นยังไงบ้างคะ ชีวิตกิน ดื่ม เที่ยว นอนของบรรดาคนมีสตางค์มันแพง และหรูหราแบบนี้นี่เอง เห็นแล้วก็คงได้แต่ฝัน ฝัน ฝันกันเล่นๆ นะคะ

เรื่อง : Suwimol lucksaniyanont

Friday, February 13, 2015

วันวาเลนไทน์ คืออะไร

วันวาเลนไทน์ คืออะไร??

  วันวาเลนไทน์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของเทพและเทพธิดาของโรมัน ต่อมากรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง จักรพรรดิประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารมาเข้าร่วมรบในศึกสงคราม เพราะผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิ ประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงาน และงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม แต่ก็ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งชื่อว่า
ท่านนักบุญ " วาเลนไทน์ " ท่านเป็นพระที่กรุงโรม ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียน
ที่ตกทุกข์ได้ยาก และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆด้วย
           และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้ นักบุญ วาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
  สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์


สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน ร่างกายเป็น
เด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมัน
            ของที่นิยมให้ในวันวาเลนไทน์
ดอกไม้ สามารถสื่อความรักได้หลากหลาย รูปแบบ ไม่จำกัดอายุและเพศ อย่างเช่น

ดอกกุหลาบแดง หมายถึง ความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดง จึงมักจะเป็นดอกไม้ ที่ชายหนุ่มให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจ จะใช้ ชีวิตร่วมกัน

กุหลาบขาวแทน หมายถึง ความรักอันบริสุทธิ์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้นมันจึงสามารถใช้แทนความรักของคนต่างวัย ความรักต่อพ่อแม่เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้
กุหลาบชมพู หมายถึง ความรัก ที่กำลังเริ่มงอกงามในใจ และสามารถ พัฒนาต่อไปเป็นความรักที่ลึกซึ้งได้
กุหลาบสีเหลือง หมายถึง ความรักแบบเพื่อน และความสนุก สนานรื่นเริง จึงมักจะนำมันมาประดับตะกร้าสำหรับเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อทำให้คนป่วย รู้สึกสดชื่นรื่นเริงขึ้นนั่นเอง
ช็อคโกแลต

ช็อคโกแลตนับว่าเป็นของที่หาได้ยาก และราคาแพงในสมัยก่อน รวมทั้งช็อกโกแลตยังเป็นสัญลักษณ์
ของเสรีภาพ มิตรภาพ และสันติภาพ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น ก็เลยทำให้ช็อกโกแลต กลายมาเป็นของขวัญสื่อทางใจระหว่างคู่รักซึ่งกันและกันในช่วงวันวาเลนไทน์

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก benboat.com

Friday, February 6, 2015

5 ข้อคิด`พิชิตเครียด`




          ความเครียดเกิดขึ้นกับคนเราได้อยู่เรื่อยๆไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ที่รู้สึกกันได้บ่อยก็คือเรื่องที่ทำให้ทุกข์ เรื่องที่ดูเหมือนทำให้เรามีความสุขก็ทำให้เครียดได้เหมือนกัน เราคงต้องปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของเราเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยมีหลักคิด 5 ข้อดังนี้
          1.ต้องตั้งสติกับตัวเองให้ได้ เวลาที่เกิดความเครียดหลายคนมักตั้งตัวไม่ทัน ปล่อยใจไปกับสิ่งเหล่านั้น ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ในสมองมีแต่ความวิตกกังวล บางคนเป็นมากจนถึงกับดึงความคิดของตัวเองกลับมาไม่ได้ จมอยู่กับความเครียดนั้น ไม่มีสมาธิทำอะไร อันนี้ต้องรีบบอกรีบเตือนตัวเอง ตั้งหลักตั้งใจกันใหม่ พยายามอย่าให้อารมณ์พาใจไปมากนัก การค่อยๆคิด ค่อยๆตั้งสติกับตัวเองนั้น เป็นการค่อยๆเริ่มเรียนรู้ปัญหา ที่มาของปัญหา และแนวทางที่เราใช้แก้ปัญหาได้ดีขึ้น
          2.ควรอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด หลายครั้งที่ความ เครียดเกิดจากความวิตกกังวลว่าอนาคตหรือวันต่อไปจะเป็นอย่างไร คิดว่าเรื่องแย่ๆหรือไม่ดีคงต้องเกิดขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน สงบสติอารมณ์ของตนเองไม่ได้ นอนไม่หลับ ต้องรอจนเหตุการณ์ผ่านไปเสียก่อนจึงค่อยสงบอารมณ์ลงได้ แต่อีกไม่นานก็มีเรื่องใหม่ให้คิดตามมา เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าลองทบทวนเหตุการณ์ที่เคยคิดมากๆมักพบว่าสิ่งที่เคยคิด เคยกังวลไม่ค่อยตรงกับเรื่องจริงๆที่เกิดขึ้นเท่าไร หรือถ้าตรงเราก็สามารถมีชีวิตยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันนี้ (ไม่คิดมากต่อไปอีกในวันข้างหน้า) เพราะฉะนั้นอย่าเปลืองพลังงานสมองให้กับเรื่องเหล่านี้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป
          3.ฝึกความยืดหยุ่นกับชีวิตตัวเองให้มากขึ้น คนเรามีความคาดหวังได้บ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับบางคนให้ความสำคัญกับความคาดหวังนั้นมากเป็นพิเศษ ความคาดหวังเป็นสิ่งที่ทำให้เรากระตือรือร้น มีกำลังใจทำสิ่งต่างๆได้ แต่การยึดติดอยู่กับความคาดหวังมากเกินไปเป็นตัวบั่นทอนสุขภาพจิตเราได้ง่ายๆ ชีวิตทุกคนมีสมหวังผิดหวังสลับกันไป ได้อย่างหนึ่งก็มักต้องเสียอย่างหนึ่ง เผื่อใจไว้บ้างกับความผิดหวัง ลองคิดดูให้ดีสิครับ ความผิดหวังคงไม่ทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปไม่ได้หรอก เพียงแต่อาจรู้สึกแย่หรือเสียความรู้สึกบ้างเท่านั้นเอง
          4.ควรลดคำถามที่ขึ้นต้นว่าทำไมให้น้อยลงบ้าง เพราะส่วนใหญ่ยิ่งถามก็ยิ่งไม่มีคำตอบ แล้วก็วกวนอยู่กับคำถามเหล่านี้ ลองถามกับตัวเองว่าทำไมสิ่งต่างๆต้องเป็นแบบที่เราต้อง การด้วย อาจทำให้เข้าใจความต้องการของตัวเองได้มากขึ้น
          5.พยายามสร้างความมั่นใจตัวเองให้มากขึ้น บางคนค่อนข้างกลัวในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่ค่อยกล้าทำอะไร กลัวว่าทำไปแล้วไม่ดี ไม่เป็นที่ถูกใจของคนอื่น หรือถ้าไม่ทำแล้วคนอื่นไม่สบายใจ แต่ทำไปแล้วฝืนความรู้สึกของตนเอง บางคนกังวลว่าคนอื่นคิดอย่างไร ถ้าเราทำแบบนี้จนในที่สุดไม่กล้าทำในสิ่งที่อยากทำแล้วต้องมานั่งอยู่กับความเครียดของตัวเอง มั่นใจในตัวเองให้มากขึ้นเถอะครับ ลดความรู้สึกอ่อนไหวกับคนรอบข้างให้น้อยลงแล้วทำในสิ่งที่อยากทำบ้าง ถ้าสิ่งนั้นไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตนเองหรือสังคมรอบข้าง จริงๆแล้วเราคอยกลัวอยู่เรื่อยๆว่าคนกลัวต่อความคิดของเราเองทั้งสิ้น คิดเองแล้วก็กลัวเองอยู่คนเดียว เอาชนะใจตัวเองให้ได้ครับ แล้วหลายๆอย่างจะดีขึ้นตามมา

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก  สสส. ค่ะ

Wednesday, February 4, 2015

ปราบสิวให้หมดไป เพียงใช้ใบสะระแหน่ บด บด บด

ปราบสิวให้หมดไป เพียงใช้ใบสะระแหน่ บด บด บด

           สำหรับคนที่มีปัญหาสิวอันเนื่องมาจากความสกปรก หรือเพราะฮอร์โมนแล้ว
ควรใช้สูตรนี้พอกหน้า เป็นสูตรที่จะช่วยลดการอักเสบของสิว ช่วยให้สิวยุบตัวเร็ว
และยังช่วยลดรอยแดงจากสิวได้ด้วยนะ

 ปราบสิวให้หมดไป เพียงใช้ใบสะระแหน่ บด บด บด

            สูตรนี้ใช้เพียงใบสะระแหน่เป็นตัวหลัก และตัวรองที่ใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้
คือ ครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรือ เนื้อว่านหางจระเข้

            วิธีการนั้นก็ไม่ยาก เพียงเรานำเอาใบสะระแหน่ 1 กำ มาบดให้ละเอียด
(ไม่แนะนำให้ใช้ครกที่บ้าน เพราะอาจจะสกปรก) ผสมกับครีม หรือว่านหางจระเข้
แล้วนำมาพอกหน้า 5-10 นาที จากนั้นก็ล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำเปล่า


ปราบสิวให้หมดไป เพียงใช้ใบสะระแหน่ บด บด บด


หมั่นพอกวันเว้นวันในช่วงที่สิวเห่อ จะช่วยลดสิวได้ดีทีเดียวจ้า


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก spokedark.tv

Wednesday, January 28, 2015

กินกล้วยวันละ 2 ผล เกิดประโยชน์มหาศาล

กินกล้วยวันละ 2 ผล เกิดประโยชน์มหาศาล


  
ถ้าต้องการให้ระดับพลังงานที่หย่อนยานลงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็วไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่ากล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที

จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน

1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง

2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกายินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถโฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วยในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วย สามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูก โดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย

5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคน จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญาเกี่ยวกับอาการเสียดท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้

10. ระบบระสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกินและโรคที่เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุนำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ ในนจำนวนคนไข้ 5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆ นักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทกรกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น

13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ try potophan ทำให้อารมณ์ดี

14. การสูบบุหรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็ว อันเป็นผลจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง

15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล

16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร

Monday, January 26, 2015

ดื่มน้ำขณะการออกกำลังกาย สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

การดื่มน้ำขณะการออกกำลังกาย สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

การดื่มน้ำขณะการออกกำลังกาย สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

น้ำถือเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกาย เป็นองค์ประกอบของเซลล์และช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นตัวช่วยในปฏิกิริยาชีวเคมีและการสันดาปสารอาหารต่าง ๆและช่วยลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ และระบายของเสียออกจากเซลล์นอกจากนี้ยังช่วยช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายขณะที่ำกิจกรรมต่างๆและยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วย

ปกติแล้ว ร่างกายจะมีการสูญเสียน้ำประมาณวันละ 2,300 มิลลิลิตร โดยแบ่งออกเป็นการสูญเสียน้ำทางปัสสาวะ 1,400 มิลลิลิตร ทางอุจจาระ 100 มิลลิลิตร และระเหยออกทางเหงื่อและลมหายใจ 800 มิลลิลิตร โดยประมาณ แต่จะมีน้ำเกิดขึ้นจากกระบวนการสลายไกลโคเจนเพียงวันละ 300 มิลิลิตรเท่านั้น ดังนั้น ร่างกายจึงจำเป็นจะต้องได้รับน้ำ จากภายนอกประมาณวันละ 2,000 มิลลิลิตร หรือประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน จึงจะเกิดความสมดุลของน้ำภายในร่างกาย แต่ในขณะที่ระหว่างการออกกำลังกายจะมีการสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้นเนื่องจากการระเหยของเหงื่อเพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย แม้ว่าไตจะได้ทำหน้าที่ดูดน้ำกลับแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยได้เพียงพอ พบว่าถ้าออกกำลังกายท่ามกลางอากาศที่ร้อนและอบอ้าว อาจมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายได้มากถึง 3 ลิตรได้ ดังนั้น ระหว่างการออกกำลังกาย จำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้เซลล์กล้ามเนื้อทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์

ผลกระทบของการขาดน้ำและเกลือแร่ ในขณะออกกำลังกาย

  • ระบบการไหลเวียนเลือดบกพร่อง เกิดผลกระทบโดยตรงต่อการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนให้แก่เซลล์กล้ามเนื้อ ประสิทธิในการระบายของเสียและความร้อนออกจากเซลล์ลดลง
  • ประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อลดลง
  • ถ้าเสียน้ำไปประมาณร้อยละ 2 ของน้ำหนักตัว (1-1.4 ลิตร) กล้ามเนื้อจะอ่อนล้าง่าย ไม่สามารถเล่นต่อเนื่องได้ และถ้าเสียน้ำไปมากกว่าร้อยละ 4 ของน้ำหนักตัว (2-2.8ลิตร) สมรรถภาพจะลดลงอย่างชัดเจน
  • กล้ามเนื้อเป็นตะคริวง่าย กลไกการเกิดตะคริวยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นผลจากการที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ร่วมกัน
  • ความดันเลือดลดลง มึนงง และเป็นลม ขณะแข่งขันได้ง่าย
  • ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนออกจากร่างกายลดลง อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูงจนเกิดการเจ็บป่วยได้
เพื่อป้องกันอาการข้างต้นควรดื่มน้ำให้พอทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการขาดน้ำซึ่งจะทำให้สมรรถภาพในการออกกำลังกายลดลง โดยมีวิธีการดังนี้

ก่อนออกกำลังกาย

ควรดื่มน้ำให้ เพียงพอ ประมาณ 400-600 มล. (1-1 ½ ขวดกลาง) ก่อนการออกกำลังกายทุกชนิดล่วงหน้าสัก 1-2 ชั่วโมง และอีก 200-400 มล. (1/2 -1 ขวดกลาง) ก่อนออกกำลังกายประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการจุกเสียดท้อง

ระหว่างการออกกำลังกาย

ขณะ ออกกำลังกายอย่างสนุกสนาน ร่างกายจะขับเหงื่อเพื่อปรับและรักษาอุณหภูมิไว้ให้สมดุล ดังนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ในกรณีที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 60 นาที คุณควรพักดื่มน้ำทุกๆ 15-20 นาที ครั้งละ 200 มล. (1/2 ขวดกลาง) หรือใช้วิธีจิบน้อย เเต่บ่อยๆก็ได้ ทั้งนี้ในกรณีที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังขาดน้ำ เช่น คอแห้ง น้ำลายเหนียว ก็ควรพักดื่มน้ำสักหน่อยก่อนกลับไปออกกำลังกายต่อ สัก 2-3 อึกก็ยังดี หรือถ้าออกกำลังกายที่มีความหนักและสูญเสียเหงื่อมาก อาจดื่มน้ำเกลือแร่เสริมได้ (กรณีออกมากกว่า 1 ชม.)เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด ป้องกันไม่ให้เหนื่อยอ่อนแรงและช็อค ซึ่งจะให้ดีเครื่องดื่มนั้นควรมีอุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส หรือเป็นน้ำในอุณภูมห้อง ก็ได้ เพื่อเพิ่มการดูดซึม
เมื่อการออกกำลังกายสิ้นสุด ปริมาณน้ำที่ควรดื่มทดแทน ให้คำนวณดูจากน้ำหนักตัวที่หายไปในระหว่างการแข่งขัน น้ำหนักหายไปเท่าใดให้ดื่มเท่านั้น น้ำหนักที่ลดลงภายหลังออกกำลังกายส่วนใหญ่เป็นน้ำหนักของน้ำที่สูญเสียไปกับเหงื่อ เป็นน้ำหนักของไขมันน้อยมาก
หากเป็นไปได้ควรชั่งน้ำหนักตัวทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกาย เพื่อคำนวณหาปริมาณน้ำที่ต้องดื่มทดแทน การชั่งน้ำหนักตัวเป็นระยะ ๆ จะเป็นการประเมินภาวะ การขาดน้ำได้ดีที่สุด

Credit: นายแพทย์ วิรุฬห์ เหล่าภัทรเกษม, นิตยสาร Health Today / lovefitt.com

Friday, January 23, 2015

ชาอู่หลง ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ!?




โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์เราเป็นสัตว์โลกที่ขี้เกียจ
ซึ่งความขี้เกียจนี้ก็ถือเป็นแรงผลักดันหนึ่ง
ให้เราคิดค้นเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ นานา
เพื่อให้งานที่ต้องทำบรรลุเป้าหมายโดยใช้แรงกายน้อยที่สุด
การไขว่คว้าหาทางลัดก็เป็นอีกนิสัยพื้นฐานหนึ่งของมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นทางลัดที่ช่วยให้ไปถึงที่หมายเร็วขึ้น
ทางลัดที่ช่วยให้รวยเร็วขึ้น ไปจนถึงทางลัดที่ช่วยให้ผอมเร็ว
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอดให้ยุ่งยาก
กระแสเห่อทางลัดช่วยผอมจึงมาแรงเป็นระยะๆ
แล้วก็จางหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง


และคลื่นลูกล่าสุดที่กำลังมาแรงในช่วงนี้คือ กระแสดื่มชาอู่หลงเพื่อลดน้ำหนัก
เรามาดูข้อเท็จจริงกันค่ะว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด


แนวคิดว่าชาอู่หลงน่าจะช่วยลดน้ำหนักได้


มาจากงานวิจัยในหลอดทดลองที่พบว่า สารโพลีฟีนอลในชา
หรือที่มีชื่อเรียกยากๆ ว่า Oolong tea polymerized polyphenols (OTPP)
มีคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ไลเปสจากตับอ่อน1 ไลเปสเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญ
ในการย่อยสลายไขมันจากอาหาร ช่วยให้ไขมันถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
เมื่อเอนไซม์ตัวนี้ถูกยับยั้ง การดูดซึมของอาหารประเภทไขมันก็ลดลง
เป็นกลไกเดียวกันกับยาลดความอ้วนบางตัวที่ใช้ในปัจจุบัน



นอกจากลดการดูดซึมของไขมันแล้ว ยังมีอีกการศึกษาในหญิงชาวญี่ปุ่นที่พบว่า
การดื่มชาอู่หลงช่วยเพิ่มการเผาผลาญขณะพักในเวลา 120 นาทีหลังดื่มได้ราวร้อยละ 10
เมื่อเทียบกับชาเขียวซึ่งเพิ่มได้เพียงร้อยละ 4.2

และยังมีการศึกษาจากจีนซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นคนอ้วนมากถึง 102 คน
พบว่าเมื่อให้ดื่มชาอู่หลงทุกวันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ร้อยละ 22 ของกลุ่มตัวอย่างมีน้ำหนัก
ลดลงเกินกว่า 3 กิโลกรัม และส่วนที่ลดเป็นไขมันบริเวณพุงมากกว่าส่วนอื่นๆ 3


แม้ว่าจะมีงานวิจัยสนับสนุนอยู่หลายชิ้น แต่ถ้าได้ตามไปอ่านงานเหล่านี้โดยละเอียดจะพบว่า
ยังไม่มีการทดลองแบบเปรียบเทียบโดยมีกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่
และมีการควบคุมปัจจัยอื่นๆ ที่ดีเพียงพอ
อีกทั้งในการทดลองทั้งหมดจะใช้เป็นชาอู่หลงจริงๆ
ไม่ใช่แบบบรรจุขวดสำเร็จรูปอย่างที่วางขายในท้องตลาดเมืองไทย


สำหรับชาแบบขวดที่ขายในไทย


มีงานวิทยานิพนธ์ที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัยศิลปากรพบว่า
ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและ
ปริมาณสารในกลุ่มโพลีฟีนอลในชาเขียวขวดที่วางขายแต่ละยี่ห้อ
มีน้อยกว่าชาเขียวชงสดอย่างมีนัยยะสำคัญ
เสียดายที่ในงานชิ้นนี้ไม่ได้มีการนำตัวอย่างชาอู่หลงบรรจุขวดมาวิเคราะห์ด้วย
จึงยังสรุปแบบฟันธงไม่ได้ว่าสารโพลีฟีนอลตัวสำคัญคือ OTPP ในชาอู่หลงขวดนั้น
จะยังมีประสิทธิภาพคงอยู่ครบถ้วนเพียงใด

สำหรับชาอู่หลงขวดที่วางขายในท้องตลาดเมืองไทยนั้น หากพลิกอ่านฉลากโภชนาการก่อน
ตามหลัก “อ่านก่อนผอมกว่า” จะพบว่า บางยี่ห้อมีการเติมน้ำตาลลงไปมากถึง 28 กรัมต่อหนึ่งขวด
ซึ่งรับประกันได้ว่า ดื่มแล้วหวานชื่นใจแต่พุงกะทิไม่หายไปไหนอย่างแน่นอน
ดังนั้น หากจะซื้อรับประทาน ควรซื้อแบบใบชาจริงๆ มาต้มหรือชงดื่ม แต่ถ้าจะซื้อเป็นแบบบรรจุขวด
ควรพลิกอ่านฉลากโภชนาการก่อน และซื้อเป็นแบบไม่ใส่น้ำตาล



สรุปแล้ว "ชาอู่หลง" เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่น่าสนใจในการลดน้ำหนัก แต่ไม่ได้ช่วยมากมายนัก
และไม่ใช่ทางลัดหรือคำตอบสุดท้ายที่ทำให้น้ำหนักลดหรือผอมลงอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกวิธี และการออกกำลังกาย
ยังคงเป็นคำตอบหลักของความผอมพร้อมสุขภาพดีค่ะ

Wednesday, January 21, 2015

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ

ผู้หญิงคนไหนบ้างคะที่ไม่อยากสวยหุ่นดี คงไม่มีเป็นแน่ เพราะเสน่ห์ของผู้หญิงเราก็คือ ความสวยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า โดยหนุ่มๆ ที่มองเรานั้นมักจะสังเกตกันตั้งแต่หน้าตา ผิวพรรณ ทรงผมและรูปร่างกันเลยทีเดียว แต่สำหรับผิวและส่วนอื่นๆ มักจะไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ชายเท่าไร เพราะหนุ่มๆ มักจะให้ความสำคัญกับหุ่นหรือรูปร่างของผู้หญิงก่อนอื่นเสียมากกว่า

ต่อให้ผู้หญิงบางคนหน้าตาจืดๆ ธรรมดา แต่หากหุ่นสวยเพรียวและมีหน้าท้องแบนราบด้วยล่ะก็ เชื่อไหมคะว่ามันจะทำให้เธอมีหุ่นราวนางแบบที่สามารถแต่งตัวแบบไหนก็ออกมาสวยเจิดจรัสได้ดีเยี่ยมสุดๆ เพราะฉะนั้น การมีหุ่นดีนี่แหละค่ะนับเป็นสิ่งที่สาวๆ พึงแสวงหาเพื่อเป็นรางวัลแห่งเสน่ห์ที่ควรค่ามีไว้ประดับเรือนร่างสุดๆ วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีลดน้ำหนักและลดหน้าท้องให้แบนราบด้วยวิธีง่ายๆ ไปพร้อมกัน เริ่มจากอะไรนั้นมาดูกันเลยนะคะ

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ



1.แขม่วหน้าท้องและออกกำลังกาย
นั่งทำงานในระหว่างวัน ไม่ต้องคิดมากเลยว่าจะทำยังไงให้ร่างกายเคลื่อนไหวตลอดเวลาเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ เพราะสาวๆ แค่หมั่นแขม่วหน้าท้องบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้ แค่นี้ก็จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันหน้าท้องให้ค่อยๆ หายไปได้แล้วค่ะ และตกเย็นใน 3-4 วันต่อสัปดาห์อย่าลืมหาเวลาไปออกกำลังกายบ้าง หากไม่มีเวลาจริงๆ ทำงานบ้านให้เหงื่อออกมากๆ ก็ช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้แล้วเช่นกัน

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ


2.กินอาหารที่เน้นไฟเบอร์สูง
เลือกกินผักผลไม้ที่ให้ไฟเบอร์สูงทุกมื้ออาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงทุกชนิด น้ำหวาน น้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ ที่ดื่มแล้วจะทำให้เกิดไขมันสะสมหน้าท้อง จงงดไปเลยค่ะ แต่หันมาดื่มน้ำเปล่าระหว่างวันให้มากๆ แทน หน้าท้องก็จะลดลงในตัวและช่วยควบคุมความหิวได้มากขึ้นแล้ว

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ


3.งดกินอาหารรสเค็ม
อาหารรสเค็มควรหลีกเลี่ยงหรือกินแบบจืดๆ จะดีกว่า เพราะอาหารที่มีเกลือโซเดียมนั้นจะยิ่งทำให้เราหิวของหวานและหิวอาหารตลอดเวลา อีกทั้งยังทำให้ร่างกายบวมน้ำอีกด้วย หน้าท้องก็จะลดลงยากด้วย

5 เคล็ดลับลดหน้าท้องที่ทำได้ง่ายแทบไม่น่าเชื่อ


4.นอนให้เร็วขึ้น
การเข้านอนเร็วและนอนพักผ่อนให้เพียงพอจะทำให้ระบบเมตาบอลิซึ่มทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สาวคนไหนอยากหุ่นดี ผิวสวย อ่อนเยาว์หันมานอนเร็วดีกว่าและก่อนนอนอาจจะซิทอัพทุกคืน ทำเป็นประจำแค่นี้ คุณก็จะพบว่าการลดน้ำหนักและลดหน้าท้องนั้น ทำได้ง่ายมากกว่าที่คิดจริงๆ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะ หากสาวๆ ปรารถนาการมีหุ่นดี สุขภาพแข็งแรงและหน้าท้องแบนราบอย่างเป็นธรรมชาติ ทำตามนี้ได้ผลดีแน่นอน แล้วคุณก็จะมีเสน่ห์ความงามติดตัวไปทุกหนทุกแห่งแบบไม่ต้องเสียเงินแต่งเติมเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก sanook.com

Monday, January 19, 2015

Friday, January 16, 2015

กลอนวันครู


กลอน กลอนวันครู


กลอน กลอนวันครู

แบกภาระ หนักอึ้ง ซึ่งยากยิ่ง
ทำทุกสิ่ง เพื่อทุกศิษย์ ไม่ถอดถอย
อบรม บ่มจิต ลูกศิษย์น้อย
ให้เจ้าค่อย เข้าใจ ในวิชา
จากอีกรุ่น ต่ออีกรุ่น สู่อีกรุ่น
ขอบพระคุณ คุณครู ผู้สง่า
สั่งสอนศิษย์ มีศีลธรรม นำจรรยา
น้อมเคารพ บูชา พระคุณครู
มะลิร้อย มาลัยพวง ดวงดอกไม้
ทั้งธูปเทียน ที่นำไหว้ ในวันนี้
คือความรัก เคารพครู ผู้หวังดี
ศิษย์คนนี้ ที่ได้ดี เพราะเชื่อครู


ขอบคุณบทกลอนดี ๆ จาก tlcthai