Monday, December 15, 2014

รวมที่เที่ยวหน้าหนาว นักท่องเที่ยวห้ามพลาด!

อย่างที่หลายๆ คน ทราบกันดีว่า ช่วงหน้าหนาวปลายปี เป็นช่วงเหมาะกับการท่องเที่ยวมากที่สุด จะบุกขึ้นดอยก็สวยแบบเย็นๆ หรือลงทะเลเพื่อพบน้ำทะเลใส ก็งามไม่ด้อยไปกว่ากัน แถมเป็นอีกช่วงเวลาในการถ่ายรูปที่สวยที่สุดอีกด้วย!!! แต่ขึ้นชื่อว่า “ฤดูหนาว” กำลังมาเยือน นักท่องเที่ยวควรที่จะไปสัมผัสความเย็นบนดอยสูงน่าจะเหมาะสมที่สุด ถึงถูกต้องตามฤดูกาลท่องเที่ยวในหน้าหนาว และยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะไปท้าความหนาวเย็นกันที่ไหนดี วันนี้ทีมงานมีตัวเลือกที่เที่ยวน่าสนใจ กับ รวมที่เที่ยวหน้าหนาว นักท่องเที่ยวห้ามพลาด! ให้เหล่าบรรดาสานุแฟน ได้ลองไปพิจารณากันนะครับ

1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์



ชื่อนี้มักจะเป็นติดอันดับต้นๆ ของการท่องเที่ยว เดิมชื่อว่า ดอยหลวง หรือ ดอยอ่างกา ดอยหลวง หมายถึงภูเขาที่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่เรียกว่า ดอยอ่างกานั้น เพราะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลักษณะเหมือน อ่างน้ำ มีฝูงกาไปเล่นน้ำกันมากมาย จึงเรียกว่า อ่างกา หรือ ดอยอ่างกา ดอยอินทนนท์ เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย (2,599 เมตร) จึงทำให้มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ มี น้ำตกแม่ยะ น้ำตกแม่กลาง น้ำตกวชิรธาร น้ำตกสิริภูมิ ถ้ำบริจินดา โครงการหลวงอินทนนท์ และ เส้นทางศึกษาธรรมชาติหลายจุด

2. ดอยอ่างขาง




เป็นที่ตั้งสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ภายในสถานีมีโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ แปลงทดลองปลูกไม้ผลเมืองหนาว สวนบอนไซ มีการจำหน่ายผลิตผลพืชผักเมืองหนาวที่ปลูก ในบริเวณโครงการฯ ให้แก่นักท่องเที่ยวตามฤดูกาล ในสถานีฯ มีที่พัก และมีสถานที่กางเต็นท์บริการแก่นักท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ

3. เขาค้อ – อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์


เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ชื่อว่าเขาค้อเป็นเพราะ ป่าบริเวณนี้มีต้นค้อขึ้นอยู่มาก เนื่องจากภูมิอากาศบนเขาค้อเย็นตลอดปี ค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาว และมีทัศนียภาพสวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ของเพชรบูรณ์ สถานที่น่าสนใจบนเขาค้อได้แก่ อนุสาวรีย์จีนฮ่อ ฐานอิทธิเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุเขาค้อ หอสมุดนานาชาติเขาค้อ พระตำหนักเขาค้อ น้ำตกศรีดิษฐ์ สวนสัตว์เปิดเขาค้อ และเนินมหัศจรรย์ หมู่บ้านคุ้มจุดชมวิวกิ่วลม หมู่บ้านนอแล และหมู่บ้านขอบด้ง หมู่บ้านหลวง


4. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง


ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี มีเทือกเขาและภูเขาสูง สลับซับซ้อน ครอบคลุมอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ฤดูหนาวอากาศเย็น ลมแรง

5. ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง จ.เชียงราย


ภูชี้ฟ้า เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง มีลักษณะเป็นยอดเขาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ่งตอนที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นมาตรงระหว่างปลายยอดเขา จะดูเหมือน เสือคาบแก้วมาก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,628 เมตร ส่วนของหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว


ดอยผาตั้ง อยู่บนเทือกดอยผาหม่น เป็นจุดชมวิวสองฝั่งโขง ไทย-ลาว และทะเลหมอก บนดอยมีหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า โดยเฉพาะ ชาวจีนฮ่อนั้น อดีตเคยเป็น ส่วนหนึ่งของกองพล 93 ซึ่งอพยพเข้ามา ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดอยผาตั้งนี้ ปัจจุบันประกอบอาชีพทางการเกษตร ปลูกพืชเมืองหนาว เช่น บ๊วย ท้อ สาลี่ แอปเปิ้ล

6. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง


เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่ง ของเมืองไทย เพราะมีสภาพธรรมชาติสมบูรณ์ประกอบด้วยระบบนิเวศและ ภูมิประเทศหลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้า ป่าสนเขา ป่าดิบ น้ำตกและ หน้าผาชมทิวทัศน์ ลักษณะเด่นของอุทยานฯ แห่งนี้คือเป็นภูเขาหินทราย ยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่คล้ายใบบอนหรือรูปหัวใจ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จุดท่องเที่ยวประทับใจได้แก่ ผานกแอ่น ผาหล่มสัก ผาหมากดูด น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำสอเหนือ-ใต้ สระอโนดาด เป็นต้น

7. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า

รวมที่เที่ยวหน้าหนาว นักท่องเที่ยวห้ามพลาด!

ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัดคือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ไร่ภูหินร่องกล้ามียอดเขาสูง 1,617 เมตร มีทิวทัศน์สวยงาม ปกคลุมด้วยป่าเต็งรังป่าดิบเขา และป่าสนเขา มีสนสองใบและสนสามใบ ขึ้นปะปนกัน และพบกล้วยไม้ดอกไม้ป่าหลายชนิดขึ้นอยู่ตามลานหิน เคยเป็นศูนย์กลางที่ตั้งฐานที่มั่นการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ จุดที่น่าสนใจ ลานหินปุ่ม ลานหินแตก น้ำตกหมันแดง เป็นต้น

8. ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ – ดอยแม่เหาะ จ.แม่ฮ่องสอน


ดอยแม่อูคอ เป็นทุ่งดอกบัวตองที่มีพื้นที่ครอบคลุมเป็นเขากว้าง ประมาณ 1 พันไร่ ดอกบัวตองที่นี่เมื่อบานพร้อม ๆ กันในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม จะเหลืองอร่ามปกคลุมทั่วทั้งภูเขา ดอยแม่เหาะ อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 10-8 ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 84 เขตตำบลแม่เหาะ เป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณนี้ มีภูมิประเทศที่งดงาม มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อยู่เป็นส่วนมาก ในเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม ของทุกปี ดอกบัวตอง หรือทานตะวันป่า จะบานสะพรั่ง ไปทั่วหุบเขา สวยงามมากทีเดียว

9. อุทยานแห่งชาติภูเรือ


เป็นภูเขาสูงใหญ่ บนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีต้นสนขึ้นสลับซับซ้อน มีลักษณะแปลกคือ มีส่วนหนึ่งเป็นผา ชะโงกยื่นออกมาเหมือน หัวเรือสำเภาใหญ่ อุทยานแห่งชาติภูเรือ จุดที่น่าสนใจบนอุทยานได้แก่ ผาโหล่นน้อย ภูผาสาด และทะเลภูเขา ผาซับทอง หรือ ผากุหลาบขาว เป็นหน้าผาสูงชัน และแหล่งน้ำซับที่มีพืชน้ำไลเคนสีเหลืองคล้ายสีทอง ขึ้นเต็มไปทั่ว น้ำตกห้วยไผ่ เป็นน้ำตกที่ไหลจากหน้าผาสูงชัน ยอดภูเรือ เป็นจุดสูงสุดในอุทยานฯ สามารถมองเห็น แม่น้ำเหืองและแม่น้ำโขงที่กั้นพรมแดนระหว่างไทย-ลาว

10. อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว


พื้นที่วนอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด ท้องที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ สภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงที่ป่าปกคลุมอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี การเดินทางขึ้นดอยค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วจะพบดอกไม้ป่า พันธุ์ต่าง ๆ เช่น ดอกหงอนนาค ดอกไม้ดินต่าง ๆ สวยงามมาก แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่น้ำตกภูสอยดาว และลานสน

11. ปางอุ๋ง



หมู่บ้านรวมไทย เป็นหมู่บ้านโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ในพระบรมราชินูปถัมป์ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถลักษณะพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บน ยอดเขาสูง ริมอ่างเก็บน้ำเป็นแนวสนที่ปลูกเรียงรายอย่างกลมกลืน ยามพระอาทิตย์ขึ้นจะสะท้อนผืนน้ำเป็นลำแสงสีทองผ่านแนวสนเขียวขจี งดงามจนถือได้ว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในเมืองไทย เปรียบได้กับ นิวซีแลนด์เมืองไทย และเมื่อได้สัมผัสกับแปลงพันธ์ไม้เมืองหนาวหลากสีสันที่ปลูกประดับในโครงการ ฯ ซึ่งเปรียบเสมือนกับ สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ปางอุ๋ง …เมื่อฟากหนึ่งเป็นนิวซีแลนด์ และอีกฝั่งหนึ่งเป็นสวิสเซอร์แลนด์

12. ปาย

ในฤดูหนาวที่เยือนมาอีกรอบหนึ่งของเมืองไทย หลายๆ คนจัดแจงวางแผนบุกป่าผ่าเขา เพื่อค้นหาความเยือกเย็นที่ปีหนึ่งจะมีสัก ครั้งที่แน่ๆ เกือบทั้งหมดนั้นเดินทางขึ้นเหนือ จะไปที่ไหนก็ตามแต่ ที่นี่หลายคนบอกว่าไม่ควรพลาด อ.ปาย ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปาย เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขา สูงตระหง่านเป็นรอยต่อชายแดนไทย-พม่า ฤดูหนาวอากาศเย็นจัด เมืองเล็กๆแห่งนี้มักปกคลุมด้วยสายหมอก ละอองน้ำจางๆ ยามเช้า บรรยากาศอันเงียบสงบ ทุ่งนาสีเขียว ท้องฟ้าสีคราม กับแสงแดดอุ่นๆ ที่ทอดผ่านม่านหมอกหนา แลเห็นต้นสนไม้ยืนต้นเมืองหนาวสูงใหญ่เป็นทิวแถวตามเชิงเขา วิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คน ด้วยความเป็นเอกลักษณ์นี้ “ปาย” ได้ดึงดูดนักเดินทางให้มาสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งนี้

13. ภูทับเบิก


ตั้ง อยู่ที่ บ้านทับเบิก ต.วังตาล ห่างจากอ.หล่มเก่า 40 กม. และห่างจากตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ประมาณ 97 กม. มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร และเป็นจุดที่สูงที่สุดของเพชรบูรณ์ ชาวเพชรบูรณ์เรียกว่า “ภูทับเบิก” ภูทับเบิก มีสภาพภูมิประเทศที่สวยงามด้วยธรรมชาติแบบทะเลภูเขา ป่าไม้ ต้นไม้เมืองหนาวและน้ำตก มีอากาศบริสุทธิ์ สภาพภูมิอากาศเย็นสบายตลอดปี เนื่องจากร่องลมเย็นจากเทือกเขาหิมาลัยและอยู่บนที่สูง จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยช่วงเข้าจะมองเห็นกลุ่มเมฆ และทะเลหมอกตัดกับยอดเทือกเขาเพชรบูรณ์

14. ผาชะนะได อุทยานแห่งชาติผาแต้ม


“รับตะวันก่อนใครในสยาม” คำขวัญแห่ง ผาชะนะได ผาริมโขง ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ดินแดนตะวันออกสุดสยาม ผาชะนะได เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจด้วยหน้าผาที่ยื่นออกไปรับลมบนที่สูง ปกคลุมด้วยป่าสนสองใบ ทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน อีกหลายจุดชมวิวทางผ่านไปสู่ของ ผาชะนะได คือ ลานดอกไม้ดิน และการชมพะลานหิน ได้แก่ พะลานหินวัดภูอานนท์ พะลานถ้ำไฮ เป็นต้น หรือจะท่อง ป่าดงนาทาม ซึ่งมีความหลากหลายทางธรรมชาติ เป็นแหล่งเดินป่ายอดนิยมสำหรับนักผจญภัย และจุดสำคัญที่พลาดไม่ได้ คือ ทะเลหมอก คือหนึ่งไฮไลท์ของ ผาชะนะได เชื่อกันว่า ใครมีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นคนแรก เปรียบเสมือนการเพิ่มพลังให้ชีวิตโชติช่วงดังแสงที่ตัดเส้นขอบฟ้า ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของการเที่ยว ผาชนะได คือ ปลายฝนต้นหนาว (ปลายตุลาคม-กุมภาพันธ์) เพราะอากาศที่เริ่มเย็นทำให้ดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง

15. ดอยม่อนจอง


ขึ้นไปดอยรับลมหนาว หาวเป็นไอ บน ดอยม่อนจอง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นหนึ่งดอยที่หลายคนตั้งใจมาฝากรอยจารึก แม้ต้องฝ่าฟันเส้นทางเดินบน สันดอยไปสู่ยอดสูงสุดกว่า 3 กิโลเมตร แต่พี่ไทยก็ไม่เคยเหน็ดเหนื่อย ขอเพียงพิชิต ดอยม่อนจอง ดอยม่อนจอง ตั้งอยู่ในเขตลึกของป่าอมก๋อย ทิศตะวันออกจรดเขื่อนภูมิพล ทิศตะวันตกติดกับถนนสายอมก๋อย-บ้านแม่ตื่น ทิศเหนือจรดกับพื้นที่อำเภอดอยเต่า ทิศใต้จรดกับลำห้วยแม่ตื่นที่ไหลลงสู่เขื่อนภูมิพล สูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย จุดสูงสุดของ ดอยม่อนจอง เรียกว่า หัวสิงห์ เพราะมีลักษณะคล้ายหัวสิงโตสูง และแน่นอนว่าสูงๆ อย่างนี้ ดอยม่อนจอง ก็หนีไม่พ้นสถานที่ที่ชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง แถมยามค่ำคืนยังสามารถนอนคุดคู้นับดาวกันตัวสั่น เพราะอากาศบน ดอยม่อนจอง นั้นหนาวมาก อมก๋อยว่าหนาวแล้ว พี่ม่อนจองของเราหนาวเสียยิ่งกว่า ฉะนั้นเสื้อผ้า อุปกรณ์คลายหนาวต่างๆ จัดให้พร้อม!

16. ดอยม่อนแจ่ม


ยอดดอยม่อนแจ่ม อยู่ใน ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ การเดินทางไม่ทุลักทุเล ใครมีรถพารถมาหย่อนไว้ แล้วเดินสูดบรรยากาศให้ฉ่ำปอด กอดภูเขา สูดเอากลิ่นดอกไม้กันได้เต็มที่ เพราะพื้นที่บน ดอยม่อนแจ่ม ไม่ กว้างใหญ่นัก เดินยังไม่ทันเมื่อยก็ได้สัมผัสทิวทัศน์โดยรอบ เตร็ดเตร่ทุกมุมแล้วก็นั่งจิบกาแฟ แชร์ประสบการณ์ สำราญไอเย็นกันแบบเบาๆ จุดชมวิวหลักๆ ของ ดอยม่อนแจ่ม มีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งเป็นทิวเขาสลับกันไปไกลสุดลูกหูลูกตา อีกด้านก็จะเป็นไร่ปลูกพืชต่างๆของโครงการหลวง ซึ่งจะเปลี่ยนพืชพรรณไปตามฤดูกาล

17. โมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์



กิเลสแห่งการเดินทางไม่เคยสิ้นสุด แม้จะ “ยิ่งสูง ยิ่งหนาว” แต่ “ยิ่งสวย ก็ยิ่งอยากเห็น” มนุษย์นี่แหละน้าไม่เคยหยุดดั้นด้น ต่อให้ต้องข้ามเขาจนขาพับขาอ่อนก็ไม่ยอมแพ้ ขอแค่สายตาได้แลในสิ่งที่อยากเห็น และที่เที่ยวชวนสัมผัสช่วงหน้าหนาวอย่าง ยอดเขา โมโกจู อีกหนึ่งบทพิสูจน์ของการเดินทาง ด้วยความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล โมโกจู จึงเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดใน อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร , จังหวัดนครสวรรค์ คำว่า โมโกจู มาจากภาษากะเหรี่ยง แปลว่า “เหมือนฝนจะตก” เนื่อง จากมีหมอกปกคลุมจัดบนยอดเขา โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว เย็นยะเยือก ควันออกปาก พ่นเล่นกันได้ทั้งวัน มองจากยอดเขาลงไปก็จะเห็นทะเลหมอกแห่งป่าตะวันตกอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอแม่วงก์ และอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร ตามเทือกเขาสูงชันก่อกำเนิดเป็นน้ำตกที่สวยงาม 4-5 แห่ง ทั้งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำแม่วงก์อันเป็นต้นน้ำของแม่น้ำสะแกกรัง นอกจากนี้ยังมีแก่งหินทำให้เกิดน้ำตกเล็กๆ ตามแก่งหินนี้ ตลอดจนมีหน้าผาที่สวยงามตามธรรมชาติ อุทยานมีเนื้อที่ประมาณ 558,750 ไร่ หรือ 894 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ในเขตพื้นที่อุทยานด้วย (ที่มา วิกิพีเดีย)

18. หมู่บ้านคีรีวง นครศรีธรรมราช



หมู่บ้านคีรีวง ตั้งอยู่ที่ ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช แม้ที่นี่จะไม่ได้อยู่ตอนเหนือของประเทศก็ตาม แต่ธรรมชาติที่สวยงามอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติ ย่อมน่าสนใจไม่ใช่น้อยๆ ที่นี่เป็นชุมชนเก่าแก่ที่อพยพไปอาศัยอยู่เชิงเขาหลวง ตำบลกำโลน อันเป็นเส้นทางเดินขึ้นสู่ยอดเขาหลวง ชาวบ้านมีวิถีชีวิตที่สงบสังคมแบบเครือญาติ จุดเด่นของหมู่บ้านคีรีวง ก็คือ ทัศนียภาพแห่งธรรมชาติ เพราะคีรีวงตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขา ป่าไม้ และสายน้ำ ถ้าหากว่าใครต้องการที่จะไปเที่ยวที่นี่ กิจกรรมที่น่าสนใจในหมู่บ้านคีรีวง ได้แก่ การพักในที่พักแบบโฮมสเตย์ การลองชิมอาหารพื้นเมือง ฯลฯ

19. สิงห์พาร์ค เชียงราย



จ.เชียงราย ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดไฮไลท์การท่องเที่ยวหน้าหนาวที่ใครต่อใครก็ ต้องมาเมื่อมีโอกาส และดูเหมือนว่า ภาพเชียงรายกับการท่องเที่ยวนับจากนี้ก็คงถึงคราวเปลี่ยนโฉม อีกครั้ง เมื่อ บุญรอด เทรดดิ้ง ได้พัฒนาปรับปรุงไร่บุญรอดเดิม บนพื้นที่ริม ถ.สายเด่นห้า-ดงมะดะ ต.แม่กรณ์ อ.เมืองเชียงราย ที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลกว่า 8,600 ไร่ ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร พร้อมด้วยกิจกรรมสันทนาการหลากหลาย ในชื่อใหม่ไฉไลว่า “สิงห์พาร์ค เชียงราย” ที่ จะรวมทั้งบรรยากาศของไร่เกษตรอินทรีย์ ที่ให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวตลอดทั้งปี ดื่มด่ำการพักผ่อนท่ามกลางทิวทัศน์ขุนเขาอันสุดวิเศษพร้อมเมนูอาหารรสเลิศ และเต็มอิ่มกับกิจกรรมพิเศษ ที่ถูกใจคอเอ็กซ์ตรีม สามสิ่งที่ดูเหมือนมีความต่างจึงถูกสร้างให้เกิดขึ้นบนพื้นที่เดียวกันอย่างลงตัว

20. สามเหลี่ยมทองคำ จ.เชียงราย


อยู่ห่างจากอำเภอแม่สายประมาณ 28 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๑๒๙๐ เป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกมาบรรจบกัน หรือที่เรียกว่า สบรวก เป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทย ลาว พม่า บริเวณนี้ในอดีตเคยมีการค้าฝิ่น โดยแลกเปลี่ยนกับทองคำ แต่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงบริเวณนี้มีความงดงามโดยเฉพาะยามเช้าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางสายหมอกด้านฝั่งพม่า และลาว นักท่องเที่ยวนิยมนั่งเรือเที่ยวชมทิวทัศน์จุดบรรจบของพรมแดนไทย ลาว และพม่า ถ้าต้องการนั่งชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำโขงไปไกลถึงเชียงแสนและเชียงของ ก็สามารถหาเช่าเรือได้ แต่ค่าเรือขึ้นอยู่กับระยะทางใกล้ไกล นักท่องเที่ยวที่สนใจล่องแม่น้ำโขงไปเที่ยวทางตอนใต้ของประเทศจีน เช่น สิบสองปันนา คุนหมิง สามารถติดต่อกับบริษัทนำเที่ยวในจังหวัดเชียงรายได้ หากต้องการจะชมทิวทัศน์มุมกว้างของสามเหลี่ยมทองคำบริเวณสบรวกและเพื่อนบ้าน ต้องขึ้นไปบนดอยเชียงเมี่ยง ที่อยู่ริมแม่น้ำโขง

21. ภูป่าเปาะ ฟูจิเมืองเลย ชมบรรยากาศ 360 องศา


สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของ อำเภอหนองหิน และของจังหวัดเลย นั่นก็คือ “ภูป่าเปาะ” หรือที่นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฟูจิเมืองเลย” ซึ่งสวยงามไม่แพ้ที่เที่ยวอื่นๆ เลยนะ คำว่า ภูป่าเปาะ นั้นมาจากภูเขาที่มีป่าไผ่เปาะ ไผ่เปาะ เป็นไผ่ชนิดหนึ่งที่ขึ้นได้ทั่วไปตามภูเขายังสามารถพบได้ทุกๆ อำเภอ ของจังหวัดเลย ลักษณะของ ไผ่เปาะนั้น เป็นไผ่ที่เปาะแตกหักง่าย และนี่คือที่มาของคำว่า ภูป่าเปาะ
ส่วนที่เป็นจุดเด่น และเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว ก็คือ การได้ขึ้นไปชมบรรยากาศ และมองเห็นยอดของ ภูหอ “ภูหอ” มีลักษณะเป็นภูเขาสูงปลายยอดตัดราบบนภู ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิยามา ที่ประเทศญี่ปุ่น จึงเรียกกันว่า “ฟูจิเมืองเลย”


22. อุทยานแห่งชาติ ดอยฟ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่


อุทยานแห่งชาติ ดอยฟ้าห่มปก มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 524 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อนของทิวเขาผีปันน้ำ มีความสูงตั้งแต่ 400 – 2,285 เมตร จากระดับน้ำทะเล มีดอยสำคัญได้แก่ ดอยฟ้าห่มปก ดอยปู่หมื่น ดอยแหลม และดอยอ่างขางสภาพป่าทั่วไปมีความอุดมสมบูรณ์และเป็นป่าต้นน้ำแห่งแม่น้ำฝาง
สถานที่น่าสนใจใน อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ได้แก่ โป่งน้ำร้อนฝาง ดอยฟ้าห่มปก สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากตั้งแค้มป์พักแรม ต้องไปที่ กิ่วลม เท่านั้น เนื่องจากทางอุทยานฯไม่อนุญาตให้พักแรมบนยอด ดอยฟ้าห่มปก เพราะเป็นหน้าผาสูงชัน อาจเกิดอันตรายได้ง่าย การเดินทางขึ้นยอด ดอยฟ้าห่มปก ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน 1 คืน ก่อนเดินทางควรติดต่อขออนุญาต ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่ฝาง


23. ดอยวาว อุทยานแห่งชาตินันทบุรี จ.น่าน


ดอยวาว อุทยานแห่งชาตินันทบุรี จ.น่าน ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่นักเดินทางต้องหาโอกาสไปสัมผัส ยิ่งถ้าไปช่วงโอกาสเหมาะในฤดูหนาว จะได้ตื่นตา กับซากุระ หรือ ดอกพญาเสือโคร่ง บานชมพูสะพรั่งทั่วดอย คละเคล้าสายหมอกยามเช้า เสริมสีสันให้ ดอยวาว เป็นหนึ่งสถานที่พาลให้อยากเที่ยว!
ยอด ดอยวาว มีความสูง 1,674 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นจุดที่สูงสุดของ อุทยานแห่งชาตินันทบุรี และเป็นแหล่งต้นน้ำหลายสาย ได้แก่ ลำน้ำสมุน ลำน้ำสะเนียน ลำน้ำวาว ลำน้ำยาว ลำน้ำพี้ ลำน้ำตึม ลำน้ำสีพัน ลำน้ำไสล ลำน้ำระพี และลำน้ำคาง เป็นต้น ดอยวาว ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับการกางเต็นท์ พักแรม กินลม ชมวิว ชิลล์ไอหมอก

24. ดอยเชียงดาว ทัศนียภาพ 360 องศา ที่ต้องสัมผัส


ดอยเชียงดาว อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่มีลักษณะเป็นเทือกเขา เป็นภูเขาหินปูน ซึ่งประกอบไปด้วยยอดเขาสูงหลายยอด ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ “ดอยหลวงเชียงดาว”สูงสุดเป็นอันดับ 3 ของบ้านเรา สูงพอจะทำให้ “น้ำ” ท้อใจ ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,225เมตรรองจากดอยอินทนนท์ และดอยผ้าห่มปก
ยอดดอยกิ่วลม และยอดดอยสูงสุด และการขึ้นดอยแต่ละครั้ง จะต้องได้รับอนุญาตจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เท่านั้น โดยจะมีคนนำทางพาเราไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ด้วยการจ่ายค่าเหงื่อให้พี่เค้าวันละ 400 บาท สัมภาระอย่าให้รก เดินกันคล่องๆ จ้างลูกหาบ ลดอาการหอบ ค่าหาบอยู่ที่วันละ 300 ต่อลูกหาบ 1 คน เชื่อเถอะว่าเรามีโอกาสเสียค่าลูกหาบแน่ๆ เพราะที่นั่นไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่แหล่งน้ำตามธรรมชาติ น้ำดื่ม น้ำอาบ ก็ต้องขนขึ้นไปด้วย ใครไม่ใช่ขาลุยถอดใจอยู่บ้านซะ จะได้ไม่เป็นภาระเพื่อนฝูง อิอิ

25. สะพานเมฆ ณ เขาช้างเผือก แหล่งท่องเที่ยวในฝันที่ กาญจนบุรี


เขาช้างเผือก” เป็นชื่อของยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ มีความสูงประมาณ 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นเส้นทางเดินป่าที่สวยงาม น่าตื่นตา จนทำให้นักเดินป่าทั่วไทยทั้งหน้าใหม่ หน้าเก่า ปรารถนาจะได้มาพิชิตซักครั้งหนึ่งในชีวิต เส้นทางเดินไปสู่ยอดเขาช้างเผือก เป็นป่าโปร่งสลับกับทุ่งหญ้า มีจุด Highlight ของการเดินทางอยู่ที่ “สันคมมีด” สันเขาที่สวยงาม และน่าหวาดเสียวไปพร้อมกัน เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา จะสามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทาง 360 องศา
เส้นทางพิชิตยอดเขาช้างเผือก มีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมการผจญภัย และมีร่างกายที่แข็งแรง ใช้เวลาเดินเท้า จากหมู่บ้านอีต่อง ประมาณ 6 ชั่วโมง และต้องพักค้างแบบกางเต้นท์บนยอดเขา โดยต้องประสานงานติดต่ออุทยานฯ จัดเจ้าหน้าที่เป็นผู้นำทาง และสามารถติดต่อจ้างในการช่วยขนสัมภาระ


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก mthai.com
ขอบคุณภาพจาก flickr.com / dog-hall.com / ททท. เรียบเรียงโดย Travel MThai

Friday, December 12, 2014

พื้นฐานการถ่ายภาพ : การถ่ายภาพทะเลหมอก

พื้นฐานการถ่ายภาพ : การถ่ายภาพทะเลหมอก


ธรรมชาติและช่วงเวลาที่เหมาะกับการถ่ายภาพทะเลหมอก

การจะเกิดทะเลหมอกจะต้องมีความชื้นและความเย็น สถานที่จะพบเห็นทะเลหมอกได้จึงต้องเป็นที่มีอากาศเย็น มีความชื้นสูง และลมสงบ หากมีปัจจัยครบทั้งสามอย่างนี้ เราน่าจะได้เห็นทะเลหมอกปรากฏขึ้นมาอยู่เสมอ จุดที่เราจะพบเห็นทะเลหมอกได้บริเวณหุบเขาที่มีป่าสมบูรณ์มีลำธาร แม่น้ำแหล่งน้ำหรือในช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดความชื้นสูง ในช่วงฤดูหนาวอากาศเย็น หากมีความชื้นสูงจะเกิดทะเลหมอกได้เช่นกัน หรือในช่วงฤดูฝน ในเช้าวันใดที่ฝนไม่ตก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไม่มีลมแรง เราก็สามารถพบเห็นทะเลหมอกได้เช่นกัน รวมทั้งในช่วงฤดูร้อน หลังจากช่วงฝนตกหนักผ่านไป หากคืนนั้นอากาศเย็น ในเช้าวันรุ่งขึ้นเราก็มีโอกาสพบเห็นทะเลหมอกได้มากเช่นกันช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการถ่ายภาพทะเลหมอก ผมแนะนำให้ถ่ายภาพในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนธันวาคม โดยเฉพาะในเขตภาคอีสานตอนบนและภาคเหนือ ช่วงปลายธันวาคมไปแล้วไม่แนะนำเท่าไรนัก เพราะมักจะมีการเผาหญ้า เผาไร่นา ทำให้เกิดควันปกคลุมพื้นที่ด้านล่างไปทั่ว เวลาถ่ายภาพออกมาด้านล่างจะมืด บนสว่าง ทำให้ภาพไม่สวย แก้ไขได้ยากแต่ก่อนจะไปถ่ายภาพทะเลหมอกที่ใดๆ ก็ตาม แนะนำว่าควรทำใจสักนิดว่าอาจจะไม่เห็นทะเลหมอกสวยๆ ก็ได้นะครับ บางครั้งมีลมพัดแรง ทำให้ทะเลหมอกไม่สามารถก่อตัวได้บางครั้งความชื้นไม่มีก็ไม่เกิดทะเลหมอก (ส่วนใหญ่จะเป็นเขตที่ป่าไม่สมบูรณ์และไม่มีแหล่งน้ำ) ที่แสบสุดเห็นจะเป็นมีเมฆสูงมาบังดวง อาทิตย์ทำให้ใม่ได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้นกลางทะเลหมอกสวยๆ แต่อย่าย้อท้อนะครับ


การเตรียมตัวถ่ายภาพทะเลหมอก

ทะเลหมอกส่วนใหญ่จะเกิดกลางป่าเขา หรือริมทางที่ตัดผ่านภูเขา ในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมตัวบ้างเหมือนกัน มีข้อแนะนำในการเตรียมตัวดังนี้

1. กล้องถ่ายภาพ ใช้ได้ทั้งกล้อง SLR และ COMPACT ขอให้ตั้งระบบ White Balance ได้มีระบบถ่ายภาพแบบปรับตั้งเอง หรือถ้าเป็นระบบ Auto ต้องมีระบบชดเชยแสง มีSelf-Timer สามารถเปิดชัตเตอร์ได้นานกว่า 4 วินาที(ถ้าน้อยกว่านั้นจะมีข้อจำกัดมาก) และติดตั้งขาตั้งกล้องได้

2. เลนส์หากเป็นกล้อง SLR ควรมีเลนส์มุมกว้าง (เทียบเท่ากล้อง 35มม. ประมาณ 24 มม.หรือกว้างกว่า )ส่วนกล้องคอมแพคคงไม่มีทางเลือกมากนัก แนะนำให้ลองดูว่าสามารถใช้Wide-angle Converter ได้หรือไม่ถ้าได้อาจจะซื้อมาใช้แก้ขัดไปก่อน

3. การ์ดเก็บข้อมูล ควรมีการ์ดความจุสูงมากๆ เช่น 512 MB หรืออย่างน้อยต้อง 256 MB ขึ้นไป ขึ้นกับจำนวนภาพที่ต้องการถ่ายด้วย หากต้องการถ่ายภาพจริงๆ จังๆ ด้วยกล้องดิจิตอล แนะนำให้มีการ์ดเก็บข้อมูลประมาณ 1 GB ขึ้นไป แนะนำให้มีการ์ด 2 ใบ (512MB 2 ชิ้น) เผื่อการ์ดใบหนึ่งมีปัญหา อีกใบหนึ่งยังจะใช้ได้หรือถ้าการ์ดหายไปก็จะได้ไม่เป็นปัญหาเช่นกัน

4. ขาตั้งกล้อง เป็นสิ่งจำเป็นมากในการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยๆ ขาตั้งที่แข็งแรงพอที่จะรับแรงประทะของลมโดยที่กล้องไม่สั่นไหว

5. แบตเตอรี่ เวลาไปถ่ายภาพในที่อากาศเย็น แบตเตอรี่จะอ่อนกำลังลงเร็วมากๆ ต้องชาร์จแบตเตอรื่ให้เต็มก่อนทุกครั้ง และควรมีแบตเตอรี่สำรองเอาไว้เปลี่ยน หากแบตเตอรี่หมดระหว่างถ่ายภาพ อาจจะใช้วิธีถอดแบตเตอรี่ออกไปเก็บไว้ในที่อุ่นๆ จะช่วยให้แบตเตอรี่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ต่อ

6. สายกดชัตเตอร์หากเป็นกล้อง SLR ควรมีสายกดชัตเตอร์ส่วนกล้องคอมแพคให้ใช้ระบบ Self-Timerแทน

7. ไฟฉาย เอาไว้ส่องหาของและปรับตั้งตัวกล้องในช่วงที่ท้องฟ้ายังมืดอยู่ควรใช้ไฟฉายที่เป็นแบตเตอรี่ AA 4 ก้อน ซึ่งจะมีความสว่างมากเพียงพอ สามารถใช้ส่องทางเดิน และยังใช้แบตเตอรี่ร่วมกับกล้องได้


ปัญหาหนึ่งที่จะพบได้บ่อยๆ เวลาออกไปถ่ายภาพทะเลหมอกคือ มีฝ้าไอน้ำจับที่หน้าชิ้นเลนส์สาเหตุเป็นเพราะเกิดความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของอากาศและชิ้นเลนส์เลนส์เย็น อากาศร้อนและชื้นกว่าเลนส์ไอน้ำจึงเกาะได้แนะนำว่า เวลาเก็บกล้อง หากขับรถไปเอง ควรเก็บกล้องไว้ที่ห้องเก็บของหลังรถ อย่าเก็บในห้องโดยสารที่มักจะเปิดแอร์จนเย็นมากๆ เมื่อนำกล้องออกมาจึงเกิดไอน้ำจับ ถ้าเก็บกล้องไว้ที่กระโปรงหลังรถอากาศจะร้อนกว่าภายนอก เมื่อโดนอากาศเย็นและความชื้นจะไม่เกิดไอน้ำจับหน้าเลนส์ช่วงที่เดินทางควรเปิดฝากระเป๋ากล้องให้อากาศระบาย(ดูเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ) จะลดปัญหาเรื่องฝ้าไปได้มากหากมีไอน้ำจับหน้าเลนส์อย่าถอดเลนส์ออกจากกล้องเป็นอันขาด มิเช่นนั้นไอน้ำจะจับด้านในกล้อง รวมไปถึง CCD ด้วย ห้ามมิให้เช็ดเลนส์เพื่อขจัดหยดน้ำจะทำให้เกิดคราบน้ำและยังจะเกิดฝ้าไอน้ำขึ้นมาใหม่ต้องทิ้งเอาไว้ให้อุณหภูมิของชิ้นเลนส์ปรับตัวเท่ากับอากาศเพียงอย่างเดียว


เดินทางสู่จุดถ่ายภาพทะเลหมอก

ทะเลหมอกจะสวยในช่วงเช้า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมงไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นไปแล้วครึ่งชั่วโมง ในช่วงฤดูหนาวพระอาทิตย์จะขึ้นช้า ควรเดินทางไปให้ถึงจุดที่ถ่ายภาพอย่างช้า 6 โมงเช้า จะได้แสงแรกที่สวยมากๆ ถ้าเป็นช่วงฤดูอื่นๆ เช่น ฤดูร้อน พระอาทิตย์ขึ้นเร็ว ต้องไปให้ถึงจุดถ่ายภาพอย่างช้าประมาณตีห้าครึ่ง ดังนั้น ผู้ถ่ายภาพต้องบวกเวลาเดินทางให้เพียงพอเอาไว้ด้วย อย่าประมาทจะทำให้พลาดช่วงเวลาสวยๆ ได้คนที่จะถ่ายภาพทะเลหมอกจำเป็นต้องตื่นเช้ามากๆ นะครับ ส่วนใหญ่ผมจะตื่นประมาณตี4 เพื่อเตรียมของทั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพ อุปกรณ์เดินทาง อาหาร ต้องอดทนกันหน่อยเพื่อแลกกับภาพสวยๆ รับรองว่าคุ้มครับ

บางครั้งช่วงเช้าๆ อาจจะดูเหมือนมีเมฆมาก มีหมอกลง บางคงคิดว่าไม่น่าจะเห็นทะเลหมอก แนะนำว่า มาถึงแล้วให้เดินทางไปที่จุดถ่ายภาพจะดีกว่า หลายครั้งที่ดูแล้วเหมือนจะไม่ได้อะไร แต่กลับได้ภาพสวยมากๆอย่างไมคาดคิดมาก่อน ถ้าเช้านั้นท้อใจนอนหลับต่อในที่พัก วันนั้นก็อดได้ภาพทะเลหมอกสวยๆ แน่


เนื่องจากมุมมองและการจัดองค์ประกอบภาพเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ซึ่งไร้ข้อจำกัด ผมจึงไม่สามารถแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้ได้ดังนั้น ผมขอแนะนำเทคนิควิธีการส่วนตัวของผมก็แล้วกันนะครับ ซึ่งบางคนอาจจะมีเทคนิค มุมมอง และแนวคิดที่ดีกว่า ก็สามารถแนะนำผมและเพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้เช่นกัน ตรงนี้อยากให้เรามาแชร์กัน จะเป็นประโยชน์มากๆ ต่อผู้ให้และผู้รับ

ขั้นตอนในการจัดภาพของผมมีดังนี้

1. มองหามุมที่น่าสนใจก่อนจะตั้งกล้อง ผมจะมองภาพที่ต้องการถ่ายด้วยสายตาในมุมกว้างๆ ก่อน จากนั้น ผมจะดูว่า บริเวณไหนของทิวทัศน์ที่น่าสนใจ ผมชอบภาพที่มีฉากหน้าเรียบง่าย ด้านหน้าอาจจะเป็นทุ่งหญ้าทอดยาวไปหาทะเลหมอก แนวเขาสีเข้มๆ มืดๆ มีแนวคิดง่ายๆ ในการหามุมภาพเพื่อจะได้ภาพสวยๆ มีมิติดังนี้

“สีเข้มอยู่หน้า สีสว่างอยู่หลัง”
“สีร้อนอยู่หน้า สีเย็นอยู่หลัง”


โดยปกติจะเดินไปเดินมาเพื่อหามุมที่ดีที่สุด มุมที่จะถ่ายต้องมีฉากหน้าที่ไม่รกรุงรัง ไม่รบกวนจุดสนใจ และเห็นทะเลหมอกได้ชัดเจน มองไปต้องรู้ว่า ทะเลหมอก เขา หรือดวงอาทิตย์เป็นจุดเด่นของภาพ ผมมักจะหลีกเลี่ยงมุมที่มีต้นหญ้าสูง มีต้นไม้รกๆ และมักจะขึ้นอยู่ในที่สูงกว่าปกติเมื่อพบมุมที่ต้องการแล้ว ก็จัดการตั้งขาตั้งกล้อง เอากระเป๋ากล้องถ่วงขาตั้งเอาไว้เพื่อให้ขาตั้งนิ่งจริงๆ และเวลาเจอลมพัดแรงๆ ขาตั้งจะยังมั่นคง (ขาตั้งต้องรับน้ำหนักกระเป๋ากล้องได้ด้วยนะ)

2. ติดตั้งกล้องและเลนส์จากนั้นประกอบเลนส์กับกล้องเข้าด้วยกัน โดยจะเลือกเลนส์ที่ให้มุมใกล้เคียงกับภาพที่อยากได้เวลาเปลี่ยนเลนส์จะหันหลังเข้าหาลม เอาตัวบังลมไว้เพื่อไม่ให้ฝุ่นและละอองน้ำเข้าไป แล้วติดตั้งกล้องเข้ากับขาตั้งกล้องให้มั่นคง (กล้องต้องไม่หมุนได้หากไม่ปลอดล็อคหัวขาตั้ง)

3. ระบบ White Balanceแนะนำให้ใช้ระบบ Daylight ซึ่งเป็นรูปดวงอาทิตย์จะได้สีสันที่ถูกต้องใกล้เคียงตาเห็นกว่าการใช้ระบบAuto WB หากต้องการให้ภาพออกโทนสีแดงมากเป็นพิเศษ แนะนำให้ใช้ระบบ WB แบบ Cloudy ที่เป็นรูปเมฆ

4. ปรับความชัดกล้องดิจิตอลส่วนใหญ่จะใช้ระบบปรับความชัดอัตโนมัติแบบ Passive คือใช้วิธีวิเคราะห์ภาพที่ปรากฏบนจอLCD ซึ่งมักจะมีปัญหากับการปรับความชัดในส่วนที่เป็นพื้นเรียบไม่ได้และปรับความชัดในที่แสงน้อยๆ ไม่ได้วิธีแก้ปัญหามี3 ทาง

1. ใช้ระบบปรับความชัดแบบปรับตั้งเอง และปรับความชัดไกลสุดสายตา
2. ใช้ระบบปรับความชัดอัตโนมัติแล้วปรับความชัดที่รอยต่อระหว่างถูเขากับท้องฟ้า ซึ่งจะมีความแตกต่างของแสงสูง
3. ปรับระบบถ่ายภาพหรือระบบปรับความชัดไปที่ ภาพทิวทัศน์กล้องจะปรับความชัดไกลสุดสายตาให้

กล้อง SLR ที่ใช้เลนส์เทเลโฟโต้ช่วงยาว เลนส์ซูมช่วงยาว รวมถึงเลนส์ที่มีจำนวนชิ้นเลนส์มากๆ
ระยะโฟกัสของเลนส์จะผิดไปมากเวลาใช้ในที่อากาศหนาว เนื่องจากการยืดหดของเลนส์ให้ใช้ระบบปรับความชัดอัตโนมัติผ่านเลนส์หรือปรับระยะชัดโดยมองภาพที่ช่องมองภาพเท่านั้น อย่าปรับความชัดโดยการดูเสกลระยะชัดที่กระบอกเลนส์จะทำให้ภาพไม่ชัดเพราะระยะชัดผิดพลาด

5. จัดองค์ประกอบภาพการจัดภาพ ผมพยายามจะทุกอย่างให้ลงตัวที่ช่องมองภาพเลย (อย่าคิดพึ่ง Photoshop มากเกินไปนัก)ต้องทำต้นฉบับให้ดีที่สุดก่อน ภาพที่ผมถ่ายมักจะมีฉากหน้าเป็นสีเข้มๆ ไล่ไปหาสีสว่าง อาจจะเป็นแนวเขาก้อนหิน ต้นไม้ที่มืดๆ แต่ดูแล้ว ส่วนมืดต้องไม่ติดกันเป็นก้อนใหญ่มากเกินไป มิเช่นนั้นภาพจะมีแต่สีดำๆขาดความน่าสนใจ (ยกเว้นบางภาพ)
ผมจะพยายามให้ในภาพมีรายละเอียด มีการไล่ระดับโทนสีมากที่สุด จะไม่เว้นภาพให้มีสีโทนเดียวมากๆ(ยกเว้นเอาไปใช้งานเฉพาะกิจ เช่น ทำปกหนังสือ ซึ่งต้องเหลือพื้นที่ใส่ตัวอักษร) เช่น ไม่เว้นพื้นที่ส่วนท้องฟ้ามากเกินไป แต่ถ้าท้องฟ้ามีเมฆสวย หรือมีการไล่แสงสวยๆ ผมถึงจะให้พื้นที่ส่วนนั้นมากๆภาพต้องดูออกนะครับว่า จะเน้นทะเลหมอก หรือจะเน้นท้องฟ้า ไม่ควรกึ่งๆ จะเน้นฟ้าก็ไม่เน้น จะเน้นทะเลหมอกก็ไม่เน้น (ยกเว้นดูแล้วสวยก็ให้กึ่งๆได้) หากต้องการทะเลหมอกเป็นหลัก แนะนำให้วางพื้นที่ทะเลหมอกประมาณ 2/3 ของภาพ แต่ถ้าเน้นฟ้า ให้วางฟ้าไว้2/3 ของภาพ ยกเว้นในกรณีที่ฉากหน้าหรือองค์ประกอบภาพไม่สามารถเว้นพื้นที่ได้

ในเรื่องขององค์ประกอบ แนะนำลองดูภาพตัวอย่างภาพมากๆ นะครับสิ่งสำคัญมากๆ ที่แนะนำในเรื่องขององค์ประกอบคือ ควรดูภาพในช่องมองภาพอย่างใจเย็น ระมัดระวัง และถามตัวเองว่า ดีหรือยัง ควรปรับตรงไหน จัดทุกอย่างให้ลงตัวมากที่สุด แล้วค่อนทำงานในขั้นต่อไป


6. เลือกช่องรับแสงที่เหมาะสมส่วนใหญ่ผมจะใช้ช่องรับแสงปานกลางในการถ่ายภาพทิวทัศน์หรือถ้าภาพมีระยะใกล้ไกลต้องใช้ช่องรับแสงแคบมากๆ จะใช้ช่องรับแสงกว้างสุดที่ยังให้ภาพชัดลึกเพียงพอ การเปิดช่องรับแสงกว้างเกินไป ภาพจะไม่คมชัด การเปิดรับแสงแคบเกินไป ภาพจะไม่คมชัดเช่นเดียวกันผมมักจะเลือกช่องรับแสง F8 -11 (เลนส์มีช่วงช่องรับแสง F2.8-32) หรือหรี่ช่องรับแสงประมาณ 3 stopจากช่องรับแสงกว้างสุด ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เลนส์มีคุณภาพสูงสุด ทั้งนี้ต้องดูช่วงความชัดลึกเป็นหลักกล้องดิจิตอลแบบคอมแพคคงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความชัดลึกนักนะครับ เพราะกล้องชนิดนี้ชัดลึกสูงมากๆ

7. วัดแสงตรงนี้ผมขอข้ามไปเป็นอีกหัวข้อ เป็นเรื่องใหญ่ยืดยาว

8. ตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสมเมื่อวัดแสงได้ความเร็วชัตเตอร์ออกมาแล้ว ดูว่าความเร็วชัตเตอร์นั้นต่ำมากหรือไม่ถ้าต่ำมากๆ จำเป็นต้องใช้สายกดชัตเตอร์หรือ Self Timer เพื่อป้องกันการสั่นไหวของภาพ (แนะนำให้ใช้แม้ว่าจะได้ความเร็วชัตเตอร์สูงก็ตาม)

9. กดชัตเตอร์ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะการสั่นไหวของภาพ

10. ดูภาพที่ปรากฏบนจอ LCD ว่ามีความสว่างพอเหมาะหรือไม่หากเป็นไปได้แนะนำให้ดูค่า Histogramจะมีความแม่นยำเที่ยงตรงมากกว่า (การใช้Histogram อย่างละเอียดจะเขียนและเปิดอบรมต่อไป) ถ้าภาพมีความสว่างไม่เหมาะสม ต้องปรับแสงลงโดยการปรับความเร็วชัตเตอร์ (ระบบถ่ายภาพแบบปรับตั้งเอง M)หรือชดเชยแสง (ระบบถ่ายภาพอัตโนมัติA,S,P ฯลฯ )

11. ถ่ายภาพใหม่อีกครั้ง หากแสงมีปัญหา ถ้าเป็นช่วงจังหวะที่แสงหรือภาพสวยมากๆ แนะนำให้ถ่ายภาพคร่อมค่าการเปิดรับแสงเอาไว้(Bracketing) เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ภาพที่สวยที่สุดกลับมาอย่างแน่นอน



ภาพทะเลหมอกจะสวยมากตั้งแต่ช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ขึ้น จะเห็นแสงเรืองๆ บนท้องฟ้า ถ้าใช้เลนส์มุมกว้างจะได้แสงโค้งเป็นสีๆ สลับไปมา สวยมากๆ ควรถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นระยะเพื่อจะได้ไม่พลาดจังหวะที่สวยที่สุดอย่างแน่นอนช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ขึ้น หากไม่มีเมฆมาบัง จะเกิดแสงสีแดงจับก้อนเมฆ ภาพจะสวยมากๆช่วงพระอาทิตย์กำลังขึ้น แสงจะสวยมากช่วงที่พระอาทิตย์เริ่มโผล่จากแนวเขาที่เส้นขอบฟ้า ให้รีบถ่ายภาพช่วงนั้น เมื่อดวงอาทิตย์พ้นเส้นขอบฟ้ามาประมาณ 3 องศา แสงจะเริ่มจ้ามากๆ ให้เปลี่ยนมุมการถ่ายภาพไปที่อื่น อย่าเน้นดวงอาทิตย์ภาพจะไม่สวย แต่ต้องระวังให้ดี
ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว ช่วงนี้แสงจะสาดในมุมต่ำทะเลหมอกจะสวยมาก แต่ท้องฟ้าจ้า ให้ลดพื้นที่ท้องฟ้าลง (เว้นแต่เมฆสวยมาก) เน้นไปที่ทะเลหมอกแทน ระวังเรื่องแสงแฟลร์แสงฟุ้งมากๆ ควรมีฮูดป้องกันแสงแฟลร์หรือใช้มือบังแสงไม่ให้เข้าเลนส์(ดวงอาทิตย์อยู่นอกภาพ) บางครั้งดวงอาทิตย์เข้าเมฆแล้วสาดแสงเป็นลำออกมาสวยมากๆ จังหวะช่วงนี้มีไม่กี่วินาทีต้องพร้อมตลอดเวลาหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นไปแล้วประมาณ 30 นาทีเริ่มไม่เหมาะกับการถ่ายภาพทะเลหมอกเท่าไรแล้ว มุมจะสูง สีไม่ดึงดูดมากนัก ทะเลหมอกเริ่มสลายตัว ถ้าไม่มีแสงลอดเมฆสวยๆ ไปถ่ายภาพบุคคลเป็นที่ระลึกจะสวยมากๆ



การวัดแสงทะเลหมอกเป็นเรื่องค่อนข้างยากสักนิด โดยเฉพาะการควบคุมโทนสีของภาพ ต้องใช้ความรู้เรื่องแสงเงา โนสีและการวัดแสงมากพอสมควร

1. สำหรับมือใหม่แนะนำให้ใช้ระบบวัดแสงแบ่งพื้นที่ ถ่ายภาพแล้วดูค่า Histogram หรือจอ LCD หากภาพไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ให้ถ่ายภาพแก้ใหม่และควรถ่ายภาพคร่อมค่าการเปิดรับแสงเอาไว้ด้วย

2. สำหรับมือเก่าและผู้ที่เก่งพอตัวแล้วการวัดแสงและการจัดองค์ประกอบภาพทะเลหมอกเป็นเรื่องเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ตาคนเราจะเห็นรายละเอียดในช่วงแสงที่กว้างมากๆ ประมาณ 17 stop แต่กล้องดิจิตอลมีช่วงการรับแสงแคบๆ ประมาณ 6 stopเท่านั้น ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะถ่ายภาพให้เหมือนกับตาเห็นผมขอแบ่งภาพพระอาทิตย์ขึ้นกับทะเลหมอกเป็น 3 แนว คือ

1. เน้นแสงท้องฟ้า แสงจากท้องฟ้าจะพอดีชัดเจน แต่ฉากหน้าจะเป็นสีดำหรือเข้ม ทะเลหมอกสีเข้มๆ ไม่ขาวเหมือนตาเห็น แนะนำให้ถ่ายภาพแนวนี้ในช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นหรือช่วงพระอสทิตย์กำลังแตะเส้นขอบฟ้า ภาพแบบนี้ให้วัดแสงที่ท้องฟ้าเป็นหลัก อาจจะใช้ระบบวัดแสงเฉลี่ยหนักกลางวัดแสงให้ตรงกลางภาพไปวัดแสงที่ท้องฟ้าเหนือจุดที่พระอาทิตย์ขึ้นก็ได้หรือวัดแสงเฉพาะจุดที่กลางแสงบริเวณพระอาทิตย์ขึ้น แล้วชดเชยแสงโอเวอร์ไปเล็กน้อย (1-2 stop)หากถ่ายภาพโดยเน้นแสงท้องฟ้า บริเวณฉากหน้าที่เป็นแนวเขาจะมืดไป (ลองวัดแสงเฉพาะจุดตรวจสอบโทนสีภาพดูได้หากต่ำกว่า -3 stop ส่วนนั้นจะมืด )

2. เน้นทะเลหมอก ทะเลหมอกจะขาวสวย ฉากหน้ามีรายละเอียดสูง สีเข้มเล็กน้อย แต่ท้องฟ้าที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากๆ จะขาวจ้า หากจะถ่ายภาพแบบนี้ให้ถ่ายบริเวณที่ห่างจากดวงอาทิตย์ไปอย่างน้อย 30-45องศา(ถ้ามุมสวย) จะได้แสงสาดเข้าทะเลหมอกมาจากด้านข้าง รายละเอียดของทะเลหมอกจะสวยมาก มีโทนสลับมืดสว่าง และท้องฟ้าจะมีโทนสีการวัดแสงให้วัดแสงเฉพาะจุดที่หมอกส่วนโดนแสงแล้วเปิดโอเวอร์+1 ถึง +1.5 stop หรือใช้ระบบวัดแสงแบ่งพื้นที่หรือเฉลี่ยหนักกลางวัดแสงก็ได้แนะนำให้ถ่ายภาพแนวนี้ในช่วงพระอาทิตย์เลยเส้นของฟ้าไปเกิน 5 องศา มีแสงสาดไปยังทะเลหมอกและแนวเขาแล้ว

3. กึ่งกลางระหว่างทะเลหมอกและท้องฟ้า ไม่ควรหันกล้องไปยังแนวเดียวกับดวงอาทิตย์เพราะฟ้าบริเวณนั้นจะสว่างจ้ามากๆ เวลาถ่ายภาพจะมีความแตกต่างของแสงสูงมาก ภาพด้านบนสว่าง ข้าล่างมืดมาก ไม่สวย ให้ถ่ายภาพในมุมข้างหลบดวงอาทิตย์ไปประมาณ 45 องศา วัดแสงธรรมดาไม่ยากซับซ้อน



ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก http://photographer-technical.blogspot.com/ ค่ะ

Wednesday, December 10, 2014

ประวัติและความเป็นมาของวันรัฐธรรมนูญ

       ประวัติและความเป็นมาของวันรัฐธรรมนูญ


รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ
วันรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย


ความเป็นมา
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
2. หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ
3. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
4. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร
จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ



วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎร ทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ
1. พระมหากษัตริย์
2. สภาผู้แทนราษฎร
3. คณะกรรมการราษฎร
4. ศาล

ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้วจึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดี ให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม




จนกระทั่งถึง วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบ สภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญ ของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎร เลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรง อยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ


อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจจุบันรัฐธรรมนูญไทยมีทั้งสิ้นประมาณ 25 ฉบับ แต่ถ้านับเฉพาะฉบับที่สำคัญจะมีเพียง 18 ฉบับดังนี้

ฉบับที่ 1. ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2427 ประกาศใช้บังคับเมื่อ วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 5 เดือน 13 วัน
ฉบับที่ 2. รัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ประกาศใช้บังคับเมื่อ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 13 ปี 5 เดือน
ฉบับที่ 3. รัฐธรรมนูญฉบับราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รวมอายุการประกาศและการบังคับใช้ 1 ปี 5 เดือน 28 วัน
ฉบับที่ 4. รัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รวมอายุการประกาศใช้ 1 ปี 4 เดือน 14 วัน
ฉบับที่ 5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ประกาศและบังคับใช้เมื่อ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี 8 เดือน 6 วัน
ฉบับที่ 6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ประกาศและบังคับใช้ วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2495 รวมอายุและประกาศบังคับใช้ 6 ปี 7 เดือน 12 วัน
ฉบับที่ 7. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2502 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 9 ปี 4 เดือน 20 วัน
ฉบับที่ 8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 3 ปี 4 เดือน 20 วัน
ฉบับที่ 9. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้เมื่อ วันที่ 15 ธันวาคม 2515 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 9 เดือน 22 วัน
ฉบับที่ 10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2517 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี
ฉบับที่ 11. รัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2519 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี
ฉบับที่ 12. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 13 วัน
ฉบับที่ 13. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 (แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2528)
ฉบับที่ 14. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
ฉบับที่ 15. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
ฉบับที่ 16. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
ฉบับที่ 17. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2549 (ฉบับชั่วคราว)
ฉบับที่ 18. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (รัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ)


อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย



อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นอนุสรณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากเดิมแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นแบบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ.2475 โดยสิ่งก่อสร้างที่เป็นองค์ประกอบของอนุสาวรีย์ มีความหมายตามสัญลักษณ์ต่าง ๆ ดังนี้
1. พาน รัฐธรรมนูญ มีความสูง 3 เมตร สื่อถึงอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ( อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ) ภายใต้รัฐธรรมนูญ
2. พระขรรค์ทั้ง 6 (ที่ติดอยู่ตรงฐานทรงกลมใต้พาน) หมายถึง หลัก 6 ประการ ที่เป็นนโยบายในความเสมอภาค เสรีภาพ เศรษฐกิจ การศึกษา และเอกราช
3. ปีก 4 โดยรอบอนุสาวรีย์ แต่ละปีกมีความสูง 24 เมตร สื่อถึงวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือวันที่ 24 มิถุนายน 2475
4. ภาพนูนต่ำบนฐานทั้ง 4 ของปีก แสดงให้เห็นถึงภาพเหตุการณ์และความพร้อมเพรียงในการปฏิบัติการของคณะปฏิวัติ
5. ปืน ใหญ่จำนวน 75 กระบอก (ปากกระบอกปืนฝังลงดิน) โดยรอบฐานของอนุสาวรีย์ที่มีโซ่เหล็กร้อยไว้ หมายถึงปีที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (เลข 75 เป็นเลขท้ายสองหลักของปี พ.ศ.2475 ) ส่วนโซ่ที่ร้อยไว้ด้วยกัน หมายถึงความสามัคคีพร้อมเพรียงของคณะปฏิวัติ

 ____________________________________________

ขอบคุณข้อมูลจาก  : http://www.educatepark.com